บทที่ 65 มู่หรงยานเอ๋อร์(1)
คฤหาสน์ของตระกูลอาน อยู่ในตำแหน่งต่ำสุดในกลุ่มคฤหาสน์ เป็นคฤหาสน์ที่มูลค่าต่ำที่สุดในกลุ่มคฤหาสน์ทะเลสาบกลับคืนรัง ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ก็ยังราคาหลายล้าน
เฉินโม่เก็บความคิดไว้ สีหน้ากลับคืนปกติ เดินไปทางตำแหน่งคฤหาสน์ของตระกูลอานในความทรงจำอย่างช้าๆ
เฉินโม่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลอาน เคาะประตู คนที่เปิดประคืออานเข่อเยว่
วันนี้สภาพอากาศค่อนข้างอบอุ่น อานเข่อเยว่ที่อยู่ในบ้านใส่เพียงเสื้อคลุมหัวสีขาวเหมือนข้าวเพียงตัวเดียว ส่วนล่างสวมกระโปรงที่มีลวดลายลูกไม้สีดำ บนขาที่ยาวตรงสองข้าง เป็นกางเกงเก็บความอุ่นสีดำ ผมของเธอก็ไม่ได้มัดนางม้า ปล่อยลงบนไหล่ คนทั้งคนดูผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อย
การแต่งกายที่บ้านของอานเข่อเยว่ชุดนี้ ถ้าหากอยู่ที่โรงเรียน แน่นอนว่าต้องทำให้สายตาของผู้ชายทั้งโรงเรียนลุกเป็นไฟ แต่ว่า เฉินโม่ก็แค่มองดูเธอผ่านๆไปหนึ่งที ก็ปัดสายตาออกไป
อานเข่อเยว่แปลกใจเล็กน้อย วันนี้เธอรู้ว่าเฉินโม่จะมา เพราะงั้นถึงได้ตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าปกติเฉินโม่ที่ทุกวันอยู่ติดตามเธอเหมือนหมาปั๊ก กลับแค่มองเธอผ่านๆไปแค่หนึ่งที ก็ดึงตากลับซะงั้น
ในใจก็อานเข่อเยว่ก็ตกตะลึง นี่ ยังเป็นเด็กที่ติดเล่นคนเดิมคนนั้นเหรอ?
“หวัดดีอานเข่อเยว่ คุณน้าเรียกผมมากินข้าว!”เฉินโม่พูดอย่างเฉยชา บนหน้าไม่แสดงสีหน้าสุขหรือทุกข์ใดๆเลย
อานเข่อเยว่งงไปสักพัก ในใจก็รู้สึกตกใจ: “เขา ถึงกับเรียกตัวเองว่าอานเข่อเยว่?”
แต่ว่าไม่นานอานเข่อเยว่ก็ปล่อยผ่านไป: “ในเมื่อฉันไม่ได้สนใจเขาตั้งแต่แรก แล้วจะไปสนใจชื่อที่เขาเรียกทำไม? บางทีเขาอาจจะรู้ตัวเองแล้ว เพราะงั้นช่วงไม่กี่วันนี้ถึงได้ตั้งใจตีตัวออกห่างฉัน แบบนี้ก็ดี แม้ว่าคุณแม่จะไล่ถามอีก ฉันก็มีวิธีที่จะตอบแล้ว”
อานเข่อเยว่พูดเบาๆว่า: “เชิญ!”
เฉินโม่เปลี่ยนรองเท้าแตะ เดินตามอานเข่อเยว่เข้าบ้านไป
ได้ยินเสียง หญิงวัยกลางคนที่ยังมีเสน่ห์ เดินออกมาจากห้องครัว ทักทายกับเฉินโม่อย่างเร้าร้อน: “เสี่ยวโม่มาแล้วเหรอ นั่งพักผ่อนก่อน เยว่เยว่ หนูพูดคุยเป็นเพื่อนกับเสี่ยวโม่ก่อน แม่ยังเหลือผักอีกสองอย่างก็จะเสร็จแล้ว”
เฉินโม่พยักหน้า นั่งลงบนโซฟาอย่างไม่เกรงใจ ทำให้อานเข่อเยว่ที่มองดูอยู่ข้างๆขมวดคิ้วเบาๆ
อานเข่อเยว่ส่ายหัวเบาๆ คิดในใจ: “แม้ว่าเขาดูแล้วเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้กระทั่งผลการเรียนก็ยกระดับสูงขึ้นมาก แต่ยังไงก็ออกมาจากชนบทเล็กๆ ไม่รู้มารยาทอะไรเลย เทียบกับเจิ้งหยวนฮ่าวแล้ว เขาก็ยังต่างกันเกินไป”
ชั่วพริบตา ท่าทีของอานเข่อเยว่ก็เย็นชายิ่งขึ้น ไม่สนเฉินโม่ นั่งลงคนเดียวบนอีกด้านของโซฟา หยิบมือถือแชทขึ้นมา
อานโส่วอี่ได้ยินเสียง เดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือ ยิ้มให้กับเฉินโม่แล้วพูด: “เสี่ยวโม่มาแล้วเหรอ!”
เฉินโม่มองดูอานโส่วอี่ ยังคงให้ความรู้สึกเป็นผู้มีความรู้เหมือนในความทรงจำ สวมแว่นกรอบดำ คนทั้งคนเหมือนกับเป็นอาจารย์คนหนึ่ง
“สวัสดีครับคุณอาอาน!”เฉินโม่ลุกขึ้นทันที ทักทายอย่างสุภาพ
อานเข่อเยว่ที่อยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ในตาก็มีความไม่เข้าใจหนึ่งไหลผ่าน รู้สึกว่าท่าทีที่เฉินโม่มีต่อคุณพ่อ กับท่าทีที่มีต่อคุณแม่ ต่างกันมาก
นี่เป็นเพราะอะไร? อานเข่อเยว่ไม่เข้าใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเองที่รู้สึกผิดไป!
“ไม่ต้องเกรงใจ นั่งสิ” อานโส่วอี่นั่งอยู่ตรงหน้าของเฉินโม่ ยิ้มแล้วมองไปที่เฉินโม่: “ช่วงนี้ได้ติดต่อกับพ่อของหนูรึยัง? ไม่ได้ข่าวของเขามานานแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ช่วงนี้เป็นไงบ้าง?”
เฉินโม่ตอบกลับด้วยความเคารพ: “ขอบคุณที่คุณอาอานเป็นห่วง ก่อนหน้านี้ผมได้คุยกับคุณพ่อผ่านทางมือถืออยู่หนึ่งครั้ง เขาก็อยากมาหาคุณอาคุยเรื่องเก่าๆ แต่ว่าเพราะการงานยุ่งเกินไป ปลีกตัวออกมาไม่ได้!”
อานโส่วอี่รู้สึกซาบซึ้งแล้วพูด: “คนอย่างพ่อของหนูน่ะ ดีไปทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่จริงจังเกินไป ถ้าหากเขายอมรับการช่วยเหลือจากทางครอบครัว เกรงว่าตอนนี้คงจะเป็นมือหนึ่งในเมืองแล้ว”
เฉินโม่ยิ้มแห้ง สำหรับคำพูดของอานโส่วอี่ ไม่มีความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น
ไม่นาน เหมยถิงก็นำผักจัดวางไว้เต็มโต๊ะ เรียกออกมาว่าทานข้าว
บทที่ 64 คำเชิญของตระกูลอาน(2)
บทที่ 66 มู่หรงยานเอ๋อร์(2)