Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1551 ศึกใหญ่มาเยือน

ตอนที่ 1551 ศึกใหญ่มาเยือน
เสียงไม่พอใจ คับแค้นและอัดอั้น เริ่มดังขึ้นในเผ่าต่างๆ ของโลกมารโลหิต
ใครเล่าจะลืมว่าตอนนั้นเจ้าคนที่ชื่อว่าหลินสวินนั่น เคยบุกสังหารตั้งแต่ส่วนลึกของป่าหลอมจิตมาถึงหน้าเมืองอารักษ์มรรค
แล้วใครเล่าจะลืมว่าเจ้าหมอนั่นคนเดียวก็ปิดเมืองแห่งหนึ่งได้ สังหารจนดินแดนโบราณมารโลหิตเสียหน้า ชื่อเสียงป่นปี้
แต่เซวี่ยชิงอี… ไม่เพียงไม่แก้แค้น กลับเลือกจะอดกลั้น!
ถึงขั้นยังถอนกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิตที่บุกรุกโลกรกร้างโบราณกลับมาทั้งหมดด้วย!
เดิมทีเรื่องนี้ก็น่าอัปยศพออยู่แล้ว กลายเป็นตัวตลกของดินแดนอื่น แต่ตอนนี้ยามสบโอกาสดีที่สุดซึ่งสามารถเหยียบย่ำโลกรกร้างโบราณได้ เซวี่ยชิงอีก็อดกลั้นไว้อีกแล้ว
เขาถึงขั้นไม่คิดจะส่งทหารชั้นเลวออกไปสักคน!
เขาเซวี่ยชิงอียังเป็นหนึ่งในแปดยอดนภาครามอยู่หรือไม่ เป็นผู้นำของคนรุ่นเยาว์แห่งดินแดนโบราณมารโลหิตไม่ใช่หรือ
ทำไมเขาถึงยอมแพ้เช่นนี้เล่า
แต่ไม่ว่าจะคับแค้นอย่างไร ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนเจตนารมณ์ของเซวี่ยชิงอีได้ ในโลกมารโลหิตนี้ สุดท้ายก็มีแต่เซวี่ยชิงอีที่เป็นใหญ่
ต่อให้ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณมารโลหิตอัดอั้นและไม่พอใจแค่ไหน ก็ได้แต่ข่มกลั้น!
‘แต่ละดินแดนต่างมีมกุฎอริยะสิบคนและกำลังพลสามหมื่นออกเคลื่อนไหว รวมกันแล้วก็เป็นมกุฎอริยะเจ็ดสิบคนกับทัพใหญ่สองแสนหนึ่งหมื่น’
‘หากหลินสวินต้านไม่อยู่ ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณก็ต้องถูกกวาดล้างแน่’
‘แต่ถ้า… เขาหลินสวินต้านอยู่เล่า’
เซวี่ยชิงอียืนอยู่ในโถงใหญ่คนเดียว ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มเย็น
‘ครั้งก่อนดินแดนโบราณมารโลหิตของข้ามีมกุฎอริยะสามสิบคนล้มตายในมือหลินสวินนั่น ครั้งนี้หากเจ้าเพชฌฆาตหลินสวินนี่จะถึงฆาตก็ต้องลากคนกลุ่มหนึ่งให้ถูกฝังไปพร้อมกันแน่ แล้วทำไมดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าต้องเสียสละอย่างไร้ความหมายเช่นนี้ด้วยเล่า’
‘คอยดูละครก็พอ ถ้าละครสนุกก็ดี… ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ สำหรับดินแดนโบราณมารโลหิตของข้าล้วนแต่มีประโยชน์ไม่เป็นภัย!’
เซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึก อารมณ์ที่เดิมอึดอัดกลับสู่ความสงบ ราบเรียบไร้คลื่นลม
เมื่อการตัดสินใจของเซวี่ยชิงอีไปเข้าหูคุนเซ่าอวี่ ก็ทำเอาเขาอดชะงักไปไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เปลี่ยนเป็นคนอดกลั้นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
และเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปสู่คนในเจ็ดดินแดนอื่น ก็ก่อให้เกิดเสียงหัวเราะไม่รู้เท่าไรดังขึ้นมาทันที
“เจ้าเซวี่ยชิงอีนี่ถูกเจ้าสวะแซ่หลินนั่นบุกสังหารจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วหรือ”
“ฮึ ข้าว่าเขาเซวี่ยชิงอีควรลบชื่อตัวเองออกจากแปดยอดนภาครามได้แล้ว ไม่มีความกล้าสักนิด”
“เซวี่ยชิงอีไม่ห่วงหรือว่าบารมีของตนจะเสื่อมเสีย”
“น่าขายหน้ายิ่งนัก เขาคิดอะไรอยู่กันแน่”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกครึกโครม ทำให้ดินแดนโบราณมารโลหิตตกเป็นเป้าหมายที่เจ็ดดินแดนอื่นหัวเราะเยาะในชั่วขณะเดียว
ไม่ว่าอย่างไรข่าวที่ขุมอำนาจทั้งเจ็ดในแปดดินแดนจะออกเคลื่อนพลไปโจมตีในวันที่หลินสวินสร้างเมืองพร้อมกัน ก็ยังชักนำให้เกิดความปั่นป่วนในสมรภูมิเก้าดินแดนอยู่ดี
และในสถานการณ์ปรวนแปรนี้ พายุฝนกำลังตั้งเค้าในบรรยากาศอันหนาวเหน็บเงียบเหงา
ค่ายชั่วคราวของโลกรกร้างโบราณช่วงนี้ กลับมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมายทยอยมาจากทั่วสารทิศไม่ขาดสาย
ค่ายชั่วคราวจึงคึกคักขึ้นมาในชั่วขณะเดียว
และหลินสวินก็ได้พบสหายเก่าที่คุ้นเคยมากมาย อย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน จี้ซิงเหยา หมีเหิงเจินเป็นต้น
แต่มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่รอไปก็ไม่พบ
นี่ทำให้หลินสวินทอดถอนใจ ตัดสินใจว่าหลังจากสร้างเมืองอารักษ์มรรคเสร็จแล้ว ก็จะมุ่งหน้าไปสืบค้นและเสาะหาข่าวคราวของจ้าวจิ่งเซวียน
ตามเวลาที่ล่วงเลย ในค่ายชั่วคราวมีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณประมาณห้าหมื่นมารวมกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นราชันระดับอมตะธรรมดา
และมีอริยะแท้ส่วนหนึ่ง แต่พูดถึงพลังต่อสู้ทั้งหมดแล้วก็ยังต่างจากแปดดินแดนอื่นมากเกินไปจริงๆ
ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎ คนที่ก้าวสู่ระดับมกุฎอริยะจนถึงตอนนี้ก็มีแค่หลินสวิน เซ่าเฮ่า รั่วอู่สามคนเท่านั้น
พูดได้ว่าหากรวมขุมอำนาจทั้งหมด ดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่มีสิทธิ์จะต่อต้านขุมอำนาจใดในแปดดินแดนอื่นอย่างสิ้นเชิง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากข่าวที่ทั้งเจ็ดดินแดนจะร่วมมือกันมารุกรานในวันที่หลินสวินสร้างเมืองแพร่ออกไป ในค่ายชั่วคราวที่กว้างใหญ่นั้น บรรยากาศที่เดิมครึกครื้นก็เปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา
ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณมากมาย ต่อให้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะร่วมมือกับหลินสวิน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังรู้สึกว้าวุ่นใจ
แตกต่างมากเกินไปแล้ว!
พวกเขาถึงขั้นมองไม่เห็นความหวังเท่าไร
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่เชื่อมั่นในตัวหลินสวินมากอย่างพวกรั่วอู่ เซ่าเฮ่าก็ยังอดรู้สึกหนักใจไม่ได้
หากสร้างเมืองได้สำเร็จ ต่อให้เสียสละมากแค่ไหนก็คุ้มค่า
แต่ถ้า…
ไม่สำเร็จล่ะ
เช่นนั้นคงพังพินาศทั้งกองทัพ ถูกล้างบางจนพบจุดจบน่าอนาถกันหมดแน่!
ยิ่งเวลาสร้างเมืองใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศในค่ายนานเข้าก็ยิ่งกดดัน ผู้แข็งแกร่งมากมายถึงขั้นรู้สึกกระสับกระส่าย
คนมากมายถึงขั้นนึกเสียใจอย่างอดไม่อยู่ โทษตัวเองที่ไม่ควรหัวร้อนจนบุ่มบ่ามมาที่นี่…
รั่วอู่และเซ่าเฮ่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ ศัตรูยังไม่มา ปณิธานต่อสู้ภายในใจของพวกเขาก็สั่นคลอนแล้ว นี่ดูท่าไม่ดีอยู่บ้าง
“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าหลินสวินนี่กำลังคิดอะไรอยู่”
รั่วอู่พึมพำอย่างอดไม่ได้
หลายวันมานี้หลินสวินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันๆ หยิบชีพจรปราณวิญญาณเส้นแล้วเส้นเล่าไปวางอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างๆ นำทรายทองผลึกอากาศที่หลอมเสร็จแล้วไปก่อวางทีละก้อน
ไม่สนใจสถานการณ์อะไรในค่ายอย่างสิ้นเชิง
“มีใจสงบท่ามกลางวิกฤติ ยิ่งเขาทำอะไรตามใจและนิ่งสงบ ข้ากลับยิ่งมีความมั่นใจ หากเขาก็ว้าวุ่นและทอดถอนใจเหมือนคนอื่น ข้าว่าเมืองอารักษ์มรรคก็ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่แต่แรก ยอมแพ้ไปซะเลยดีกว่า”
เซ่าเฮ่ายิ้มกล่าว
“เจ้ายังยิ้มออกอีกหรือ”
รั่วอู่เหลือบมองเขาเล็กน้อย
เซ่าเฮ่าหัวเราะ “ก็แค่หาความสุขในความทุกข์เท่านั้น”
“หาความสุขในความทุกข์รึ ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าแค่ว่างจนไม่มีงานทำ”
เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น กลับเห็นหลินสวินเดินมาแต่ไกล ท่าทางแม้จะผ่อนคลาย แต่หว่างคิ้วกลับอ่อนเพลียยากปกปิด
หลายวันนี้มีเขาวางกระบวนค่ายกลเพียงลำพัง แค่การสลักลายมรรคที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนทะเล ก็ใช้สมาธิและแรงกายแรงใจของเขาไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
กระบวนค่ายกลอริยะขนาดใหญ่เช่นนี้คนอื่นก็ช่วยเขาไม่ได้ และจะเกิดข้อผิดพลาดแม้เศษเสี้ยวก็ไม่ได้
หลินสวินจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำอยู่คนเดียว
“ค่ายกลเสร็จแล้วรึ”
เซ่าเฮ่านัยน์ตาเป็นประกาย
หลินสวินพยักหน้า “ตอนนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกอย่าง”
“เรื่องใดหรือ”
“ถ้าต้องการสร้างเมืองแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมั่นคงยากทำลายจึงจะดี ซากศพและน้ำเลือดของศัตรูก็เป็นแค่สิ่งแต้มแต่ง หยัดรากฐานให้กับเมืองเท่านั้น ยังต้องใช้วัตถุดิบเทพเป็นหลักด้วย”
หลินสวินกล่าว “ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าสองคนช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศจำนวนหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งดี ทางที่ดีเอาให้มากพอจะสร้างเมืองแห่งหนึ่งได้จะดีที่สุด”
เซ่าเฮ่าและรั่วอู่สูดหายใจเย็นเยียบ “ใช้ทรายทองผลึกอากาศสร้างเมืองแห่งหนึ่งรึ”
ความคิดนี้ช่างบ้าระห่ำจริงๆ!
“ไม่ผิด ไม่ทำก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อทำแล้วอย่างน้อยก็ต้องสร้างเมืองอมตะที่ไม่มีใครทำลายได้ไว้ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินส่องประกายวาววาบ วาจาเด็ดเดี่ยว “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในภายหน้าต่อให้เกิดการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนขึ้นอีกกี่ครั้ง ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของเราก็ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก ขอแค่พึ่งพาพลังของเมืองนี้ก็จะยืนหยัดไร้พ่ายได้!”
เซ่าเฮ่าและรั่วอู่ต่างไหวหวั่น
ตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจ ว่าแผนการสร้างเมืองของหลินสวินยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก พิจารณาจนล้ำลึกยากหยั่งถึง!
ครู่ใหญ่เซ่าเฮ่าก็กล่าวหยอกล้อ “ก่อนหน้านี้ข้ายังนึกว่าเจ้าคิดจะใช้ศพของศัตรูมาเป็นวัตถุดิบสร้างเมืองจริงๆ ที่แท้ก็ยังมีความคิดอื่นอีก”
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “วางใจเถอะ ซากศพของศัตรูจะต้องได้กองเต็มอิฐทุกก้อนในเมืองนี้แน่!”
ในช่วงเวลาต่อมาเซ่าเฮ่าและรั่วอู่ก็ยุ่งขึ้นมาทันที คนหนึ่งไปรวบรวมทรายทองผลึกอากาศ อีกคนก็นำอริยะแท้กลุ่มหนึ่งมาช่วยหลอมทรายทองผลึกอากาศมากมายเป็นก้อนอิฐขนาดมหึมาหลายก้อน
จากนั้นบนอิฐแต่ละก้อนก็จะถูกหลินสวินสลักลายมรรคต่างๆ ไว้
ส่วนผู้แข็งแกร่งคนอื่นในค่ายก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันแยกซากศพและน้ำเลือดใน ‘ภูเขาศพบ่อโลหิต’ นั้นออกมาหลอมเป็นวัตถุดิบสร้างเมือง
ใกล้วันสร้างเมืองเข้าไปทุกทีแล้ว
วันนี้เซ่าเฮ่ากลับมาที่ค่ายชั่วคราวอย่างรีบเร่ง พร้อมนำข่าวหนึ่งกลับมาด้วย
“กำลังพลของเจ็ดดินแดนใหญ่ เคลื่อนพลมาถึงชายแดนโลกรกร้างโบราณแล้ว!”
เพียงพริบตาบรรยากาศทั้งค่ายชั่วคราวก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ละคนต่างตึงเครียด พายุฝนกำลังมา ใครเล่าจะไม่ประหม่า
มีเพียงหลินสวินที่ผิดคาดอยู่บ้าง “ทำไมไม่มีกำลังพลของดินแดนโบราณมารโลหิต”
“เซวี่ยชิงอีตัดสินใจอดกลั้น ยามนี้จึงทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของแปดดินแดนแล้ว ชื่อเสียงทั้งหมดดิ่งลงสู่ก้นเหว”
เซ่าเฮ่าสีหน้าพิกล
“เจ้าหมอนี่เป็นคนฉลาดจริงๆ”
หลินสวินชะงัก จากนั้นก็กล่าววิจารณ์ประโยคหนึ่ง
หลินสวินพูดพลางโฉบขึ้นไปกลางอากาศ ยืนตระหง่านอยู่ใต้เวิ้งฟ้า แผ่จิตรับรู้ออกไปมองรอบทิศ
ก็เห็นว่าในรัศมีร้อยลี้โดยมีค่ายชั่วคราวเป็นศูนย์กลาง ในแต่ละช่วงจะมีภูเขาหินสีทองสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งตระหง่าน
ภูเขาทองพวกนี้ล้วนก่อขึ้นจากก้อนอิฐมหึมาที่หลอมจากทรายทองผลึกอากาศมากมาย
ด้วยเหตุนี้เซ่าเฮ่าจึงแทบจะย้ายทรายทองผลึกอากาศที่กระจายอยู่ในแดนลี้ลับแห่งนั้นออกมาจนหมด!
และด้านล่างของรัศมีร้อยลี้นี้ ในใต้ดินที่ไม่มีใครมองเห็นก็ปกคลุมด้วยค่ายกลลายมรรคมากมาย
ค่ายกลสลักอยู่บนวัตถุดิบของกระบวนค่ายกลใหญ่ ส่วนด้านล่างลงไปก็เป็นชีพจรปราณวิญญาณระดับอริยะหลากสายไขว้พาด มหึมาเหมือนเจียวหลงนอนขดอยู่!
หลินสวินที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา ในใจพลันปั่นป่วนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ‘เมื่อถึงตอนสร้างเมือง แน่นอนว่าต้องใช้เลือดสดๆ มาบูชายัญ…’
ผ่านไปสิบวัน
ห่างจากวันสร้างเมืองที่หลินสวินบอกแค่เจ็ดวัน แต่ในวันนี้เซ่าเฮ่าที่ลาดตระเวนอยู่ภายนอกได้กลับมายังค่ายชั่วคราวอีกครั้งด้วยความเร็วเต็มอัตรา
“ทุกคนเตรียมตัว ศัตรูบุกโจมตีแล้ว!”
เสียงตะโกนของเซ่าเฮ่าราวฟ้าผ่า ดังก้องบนท้องฟ้าเหนือค่ายชั่วคราว เพียงพริบตาผู้แข็งแกร่งทุกคนในค่ายต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่
ศัตรูถึงกับมาก่อนล่วงหน้าเจ็ดวัน!?
ฟุ่บ!
ขณะเดียวกันเงาร่างของหลินสวินทะยานสู่ฟากฟ้า ชุดสีขาวพระจันทร์ของเขาสะบัดโบก ใบหน้าหล่อเหลาราศีจับเปล่งประกาย นัยน์ตาดำล้ำลึกและวาววาบ
“ก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางโง่รอถึงวันสร้างเมืองแล้วค่อยมา!”
เสียงเยียบเย็นดังก้องไปทั้งค่าย ทำให้ทุกคนต่างอึ้งงัน ที่แท้หลินสวินก็คาดว่าจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของผู้แข็งแกร่งทุกคนก็ผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้รับความมั่นใจจากคำพูดของหลินสวิน
“พี่หลิน ศึกใหญ่กำลังมา ไม่ทราบว่าเจ้ามีความมั่นใจแค่ไหนหรือ”
มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
สายตานับไม่ถ้วนพากันจับจ้องไปที่หลินสวินทันที บ้างกระวนกระวาย บ้างประหม่า และบ้างเฝ้ารอ
………….
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท