Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1549 ทรายทองผลึกอากาศ

ตอนที่ 1549 ทรายทองผลึกอากาศ
คิดอยากให้คนธรรมดาทั่วไปยกย่องว่าเป็นผู้นำ ง่ายดายยิ่ง เพียงแค่หยิบยื่นผลประโยชน์ให้อีกฝ่าย สนองความต้องการของเขา และมีวิธีบังคับควบคุมชุดหนึ่งก็พอแล้ว
คิดอยากให้เหล่าผู้ฝึกปราณยกย่องเป็นผู้นำ นี่กลับยาก ก็เปรียบเหมือนปกครองสำนักแห่งหนึ่ง หากหมายจะรวมผู้แข็งแกร่งทั้งหมดเป็นปึกแผ่น ย่อมต้องมีพลัง สติปัญญา และความน่าเกรงขาม
และหากอยากให้มกุฎอริยะอย่างเซ่าเฮ่า รวมถึงรั่วอู่ต่างเต็มใจทำงานร่วมกับเขา ยกย่องเขาเป็นผู้นำ…
ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ชัดๆ!
ถึงอย่างไรในดินแดนรกร้างโบราณ อริยะล้วนเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ฝ่ายหนึ่ง ยืนตระหง่านอยู่เหนือโลก
ส่วนมกุฎอริยะยิ่งต่างกันไปอีก อย่างน้อยในกาลเวลาตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ภายในดินแดนรกร้างโบราณก็ไม่เคยปรากฏมกุฎอริยะมาก่อน
และในช่วงเวลาที่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดออก ถึงทำให้เซ่าเฮ่าและรั่วอู่ต่างพากันเหยียบย่างระดับมกุฎอริยะ กลายเป็นบุคคลมหัศจรรย์ที่โดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าอริยะแท้ทั่วไป
ส่วนหลินสวิน เห็นได้ชัดว่าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยพยายามเพื่อสิ่งนี้มาก่อน แต่กลับทำเรื่องที่ยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นฟ้าได้สำเร็จโดยไม่รู้ตัว!
อย่างเช่นตอนนี้ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ต่างก็ทำตามคำสั่งของเขาอยู่ในที
นี่ทำให้รั่วอู่ไม่อยากยอมรับยังไม่ได้
เวลาผันผ่าน หนึ่งเดือนเคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็ว
ในหนึ่งเดือนนี้เซ่าเฮ่านำทัพผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณทั้งกลุ่มห้อตะบึงตามพื้นที่ต่างๆ โลกรกร้างโบราณ พัดกระพือพายุนองเลือดฉากแล้วฉากเล่า
ขุมอำนาจศัตรูแปดดินแดนที่ท่องทั่วโลกรกร้างโบราณไม่รู้เท่าไหร่ถูกกวาดล้างหมดเกลี้ยง
มีมกุฎอริยะอย่างเซ่าเฮ่าคอบควบคุมดูแล การเข่นฆ่าตลอดทางนี้ล้วนโจมตีไม่มีพ่าย ไม่มีศึกไหนไม่ชนะ!
และจากจุดนี้ ศพและเลือดของศัตรูที่ใช้เป็นวัสดุสร้างเมืองกองแล้วกองเล่าจึงถูกลำเลียงเข้ามาในค่ายประจำการชั่วคราว
ซากศพถูกกองเป็นภูเขาเล็กกองแล้วกองเล่า
เลือดถูกเทลงในบ่อน้ำที่ถูกขุดเจาะไว้เป็นอย่างดีบ่อแล้วบ่อเล่า
ในค่ายชั่วคราวขนาดใหญ่ ปรากฏภาพนองเลือดจำพวก ‘ภูเขาศพบ่อเลือด’ เพิ่มขึ้นมาในชั่วขณะ
เพราะนองเลือดเกินไป ฟากฟ้าเหนือภูเขาศพบ่อเลือดถึงขั้นปรากฏลักษณ์ประหลาดเกรี้ยวกราดมากมาย ดุจดั่งพายุอสนี เสียงเทพผีโหยหวนลากยาวไม่หยุด
ควรรู้ว่าในหมู่ศัตรูที่ถูกล้างบางเหล่านี้ แทบจะเป็นราชันระดับอมตะเคราะห์ทั้งสิ้น ส่วนหนึ่งในนั้นยิ่งมีพวกระดับอริยะแท้ด้วย
แม้จะถูกสังหาร ในเลือดและซากศพของพวกเขาก็ยังหลงเหลือความแค้นและความอาฆาตอยู่ และตอนนี้ถูกกองสะสมเข้าด้วยกัน จะเกิดลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงชวนผวาบ้างก็ไม่แปลก
เพื่อสิ่งนี้ หลินสวินวางผนึกควบคุมเป็นการเฉพาะ ทำการกดกำราบ หาไม่ความน่าเวทนาอาฆาตที่เลือดและซากศพซึ่งกองรวมกันอยู่ในจุดเดียวเหล่านี้แผ่ออกมา อาจถึงขั้นอาจกระทบต่อสภาพจิตใจคนเลยก็ได้!
ในเวลาเหล่านี้ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณแต่ละคนดุจดั่งหาเสาหลักพบ ไม่สิ้นหวังและลนลานเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ละคนล้วนฮึกเหิม เต็มไปด้วยปณิธานต่อสู้โหมกระพือ
บ้างพากเพียรเคี่ยวกรำแข่งกับเวลา
บ้างช่วยเสาะหาทรัพยากรฝึกปราณตามสถานที่ต่างๆ ในโลกรกร้างโบราณ
สมรภูมิเก้าดินแดนไพศาลไร้ขอบเขต มีแดนลับมากมายอยู่ในนั้น แดนลับบางแห่งเปี่ยมด้วยภัยอันตราย แต่ก็มีบางแห่งเต็มไปด้วยวาสนาที่ยากจะจินตนาการ
ในวาสนาเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสมบัติอย่างวัตถุดิบเทพ โอสถสมบัติ สมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากจากโลกภายนอก ความล้ำค่าของสมบัติบางอย่าง แม้แต่อริยะก็ยังน้ำลายไหลไม่หยุด
กล่าวง่ายๆ คือ ในระยะนี้ทั่วทั้งค่ายชั่วคราว ทุกวันล้วนปรากฏภาพ ‘เพลิงระอุเสียดฟ้า พลังงานเต็มเปี่ยม’
รั่วอู่เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ในใจก็ตื่นเต้นไม่หยุด
ก่อนหน้านี้นางถึงขั้นไม่กล้าคิด
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดือนกว่าสั้นๆ นี้!
ไกลออกไปเซ่าเฮ่านำทัพผู้แข็งแกร่งทั้งกลุ่มมุ่งหน้าย้อนกลับค่าย สีหน้าแต่ละคนล้วนเจือแววภาคภูมิ
เห็นได้ชัดว่าผลเก็บเกี่ยวในวันนี้ไม่เลวอย่างยิ่ง
รั่วอู่อดมองไปไกลอีกไม่ได้ ที่แห่งนั้นหลินสวินยังเหมือนเดิมทุกประการ พิจารณาและอนุมานด้วยสีหน้าจดจ่อเปี่ยมสมาธิ ลืมเลือนตัวตนอย่างสิ้นเชิง
หว่างคิ้วของนางเจือแววสับสน พึมพำในใจ ‘ไม่ต้องรหกระเหินอีก และไม่ต้องหนีตายอุตลุดอีกต่อไปแล้ว… ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ได้ นั่นจะดีแค่ไหนกันนะ…’
หลังจากนั้นรั่วอู่ก็นิ่งเงียบไป
นี่คือสมรภูมิเก้าดินแดน ความสงบเงียบชั่วคราวอย่างไรก็ต้องถูกทำลายลง การเข่นฆ่าทารุณนองเลือด จึงจะเป็นสถานการณ์ปกติของสมรภูมิเก้าดินแดน!
“สำเร็จแล้ว!”
ในวันนี้หลินสวินตื่นจากการอนุมาน พ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมาเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำทอประกาย ทั้งตัวล้วนผ่อนคลายขึ้นมา
ในใจของเขา ได้อนุมานกระบวนค่ายกลอริยะพิทักษ์เมืองที่ซับซ้อน ไพศาล เร้นลับหาใดเปรียบเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้ว
กระบวนค่ายกลนี้ ใช้ ‘ค่ายกลวัฏจักรดารา’ เป็นรากฐาน ทั้งถูกหลินสวินแบ่งจัดวางออกเป็นสี่ค่ายกลสังหารหลักอย่าง ‘ยอดนภา’ ‘แดนพิฆาต’ ‘ทลายเทพ’ ‘ดับวิญญาณ’
ค่ายกลสังหารหลักแต่ละแห่งล้วนปกคลุมด้วยกระบวนสลักลายมรรคมากมาย แต่ละกระบวนสลักประทับพลังลายมรรคนับหมื่น!
เหมือนอย่าง ‘ค่ายกลสังหารยอดนภา’ ที่อานุภาพแข็งแกร่งที่สุด ใช้หกสิบสี่กระบวนสลักลายมรรค และแปดล้านสี่แสนลายมรรควาดออกมา ทันทีที่โคจร ต่อให้เป็นอริยะแท้มุ่งหน้ามาก็จะต้องถูกสังหารทิ้งง่ายๆ!
นอกจากสี่ค่ายกลสังหารหลักแล้ว ยังมีค่ายกลป้องกันอีกแปดแห่งทำการต้านทาน
ค่ายกลป้องกันแปดแห่งนี้จะถูกวางคลุมอยู่ที่คูเมืองแปดฝั่งกำแพงเมืองสี่ทิศ เบื้องบนเชื่อมสวรรค์ เบื้องล่างจรดดิน
การอนุมานและใคร่ครวญไม่หลับไม่นอนที่กินเวลาเกือบสองเดือน ในที่สุดรายละเอียดทุกอณูของกระบวนค่ายกลนี้ก็ประกอบกันอย่างสมบูรณ์แบบเสียที ทำให้เวลานี้หลินสวินมีความรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือทน
ไม่มีใครรู้แน่ชัด ว่าจิตใจและเลือดเนื้อที่เขาทุ่มเทเพื่อสิ่งนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน!
นี่ยังดีที่เขาเคยได้รับนัยเร้นลับมรดกสมบูรณ์ของ ‘ค่ายกลวัฏจักรดารา’ ไม่เช่นนั้นหากอยากตรึกตรองถึงผนึกต้องห้ามอริยะขนาดใหญ่ที่ทั้งโจมตีและป้องกันได้เช่นนี้ เวลาสองเดือนสั้นๆ ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
ย้อนคิดถึงปีนั้นที่ริมฝั่งทะเลหมากดารา หลินสวินเพียงแค่หยิบยืมพลังของ ‘ค่ายกลวัฏจักรดารา’ ก็สังหารเหล่าราชัน ฆ่าจนเลือดไหลพันลี้ ฟ้าดินมืดมัว
ต่อให้เป็นอริยะมารุกราน ล้วนเพราะกริ่งเกรงพลังของ ‘ค่ายกลวัฏจักรดารา’ ไม่กล้าล้วงล้ำแม้แต่ก้าวเดียว!
และค่ายกลที่หลินสวินอนุมานในตอนนี้ ก็ถือกำเนิดจากค่ายกลวัฏจักรดารา ซ้ำยังร้ายกาจกว่าต้นแบบ ทุ่มเทด้วยนัยเร้นลับลายมรรคที่เขาเรียนรู้มาทั้งชีวิต
กล่าวอย่างไม่เกินจริงได้ว่า กระบวนค่ายกลนี้เป็นกระบวนค่ายกลต้องห้ามที่เข้าใจยากที่สุดในการสรรค์สร้างบนวิถีสลักลายมรรค และแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ที่หลินสวินฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้!
กระบวนค่ายกลนี้ถูกหลินสวินตั้งชื่อว่า ‘สี่ยอดแปดพิทักษ์’!
‘ต่อไปก็ต้องคิดถึงวัตถุดิบเทพที่จำเป็นต่อการหลอมจานกระบวน ธงกระบวนและการวางกระบวนค่ายกลแล้ว…’
หลินสวินใคร่ครวญ
คุณลักษณะของจวนกระบวน ธงกระบวนของค่ายกลใหญ่ระดับนี้ อย่างน้อยก็ต้องการระดับสมบัติอริยะ ไม่เช่นนั้นย่อมไม่สามารถควบคุมพลังของกระบวนค่ายกลใหญ่ได้อย่างสิ้นเชิง
แต่ว่าสิ่งที่หลินสวินไม่ขาดแคลนมากที่สุดในตอนนี้ก็คือสมบัติอริยะ ลำพังแค่สมบัติอริยะที่รวบรวมมาได้ทั้งหมดจากการสังหารมกุฎอริยะทั้งกลุ่มก่อนหน้านี้ ก็มีมากถึงหลายสิบชิ้นแล้ว
สมบัติอริยะบางส่วนในนั้นสามารถนำมาหลอมใหม่ได้ สลักลายมรรคไว้บนนั้นและใช้เป็นจวนกระบวนกับธงกระบวน
มีเพียงวัสดุของวางกระบวนค่ายกลที่ค่อนข้างรับมือยาก ไม่เพียงต้องการจำนวนมาก ซ้ำยังต้องมีคุณภาพสุดยอดถึงที่สุดอีกด้วย
“พี่หลิน”
เซ่าเฮ่าเดินมาจากไกลๆ เอ่ยถามว่า “กระบวนค่ายกลลายมรรคอนุมานเป็นอย่างไรแล้ว”
“ขาดแค่วัสดุวางกระบวน” หลินสวินกล่าวเรียบๆ
เซ่าเฮ่ายิ้มขึ้นมาโดยพลัน ท่าทางเหมือนรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก กล่าวว่า “ข้ามาหาเจ้าเพราะเรื่องนี้พอดี เจ้าตามข้ามา”
กล่าวพลางเขาเดินนำไปก่อน เหาะเหินไปยังที่ไกลๆ
หลินสวินฉงนใจ ถึงแม้ในใจจะสงสัยแต่ก็ยังตามไป
หนึ่งเค่อต่อมา
ภายใต้การเคลื่อนย้ายเต็มกำลัง ทั้งคู่มาหยุดอยู่เบื้องหน้าหุบเขาขนาดใหญ่ที่เวิ้งว้างเหลือคณาแถบหนึ่ง
“ที่แห่งนี้มีแดนลับแห่งหนึ่ง เชื่อว่าจะต้องแก้ไขปัญหาของเจ้าได้แน่”
กล่าวพลางเงาร่างเซ่าเฮ่าโฉบเข้าสู่กลางหุบเขา และถึงกับอันตรธานหายไปในอากาศโดยพลัน
หลินสวินอึ้งไป ในใจก็อดตั้งตาคอยน้อยๆ ไม่ได้ รีบตามเข้าไป
วู้ม!
กลางหุบเขาปกคลุมด้วยระลอกคลื่นพลังกฎระเบียบที่เร้นลับชั้นหนึ่ง ทันทีที่เฉียดใกล้ หลินสวินก็มีความรู้สึกดั่งจันทร์หมุนดาราเคลื่อน ห้วงอากาศพลิกตลบทันที
เมื่อการมองเห็นเบื้องหน้ากลับสู่สภาพปกติ นัยน์ตาหลินสวินถูกลำแสงสีทองที่แผ่ครอบฟ้าดินแถบหนึ่งสาดส่องจนลืมตาไม่ขึ้น
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จิตรับรู้แผ่กว้าง ก่อนจะนิ่งงันในทันใด
กลางฟ้าดินแถบนี้ เม็ดทรายสีทองลอยล่องทั่วฟ้า ดุจดั่งดวงดาราสีทอง ประดับประดาอยู่ในห้วงอากาศแน่นขนัด แวววาวโปร่งใส ส่องสว่างเจิดจ้า เปล่งประกายแสบตาอย่างที่สุด
เมื่อมองโดยละเอียด ทรายแต่ละเม็ดนั้นล้วนกลมเกลี้ยงดั่งไข่มุก ขนาดเท่าผลซิ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองไหลเวียนอยู่ในนั้น ให้กลิ่นอายอริยเทพลอยปะทะเข้ามา
ทรายทองผลึกอากาศ!
ในใจหลินสวินสะท้าน จำที่มาของวัตถุดิบเทพที่หาได้ยากระดับนี้ได้ สำหรับผู้บำเพ็ญธรรม ทรายทองผลึกอากาศเป็นสมบัติธรรมที่บริสุทธิ์ทนทานที่สุดในโลก เป็นสมบัติล้ำค่าที่ใช้สร้างแท่นบัวบริสุทธิ์
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ ของสิ่งนี้เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ซึ่งสามารถหลอมสร้างกระบี่บินบริสุทธิ์ กระบี่บินเล่มหนึ่ง แค่ผสมทรายทองผลึกอากาศนิดหน่อยลงไป ปราณกระบี่อันแหลมคมก็จะพุ่งทะยานขึ้นสามเท่า!
และสำหรับอริยะบนโลกแล้ว ทรายทองผลึกอากาศก็คือวัตถุดิบเทพระดับโลกที่ใช้หลอมสมบัติอริยะอย่างหนึ่ง!
โดยทั่วไปแล้วทรายทองผลึกอากาศกำหนึ่ง ล้วนสามารถหลอมสมบัติอริยะที่ต้องการได้แล้ว
แต่ตอน สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าหลินสวินเป็นทรายทองผลึกอากาศที่ปกคลุมทั่วฟ้าดิน ดุจดั่งธารดาราสีทอง ลอยล่องร่ายระบำอยู่กลางผืนฟ้า!
“เป็นอย่างไร”
เซ่าเฮ่ามาหยุดอยู่ข้างกายหลินสวิน เอ่ยปากระบายยิ้ม
หลินสวินพ่นลมหายใจยาวออกมา กล่าวว่า “พอแล้ว พอแล้วอย่างแน่นอน พี่เซ่าเฮ่า นี่เจ้ามอบเรื่องน่ายินดีชวนประหลาดใจที่แสนยิ่งใหญ่ให้ข้าแล้ว”
เซ่าเฮ่าระเบิดหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะเบิกบาน “ข้าเองก็รอคอยเช่นกัน ว่าเจ้าจะสามารถสร้างเรื่องน่ายินดีชวนประหลาดใจที่แสนยิ่งใหญ่ให้แก่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของพวกเรา”
ตอนที่หลินสวินกลับสู่ค่ายชั่วคราวก็เริ่มลงมือทันที
ครึ่งเดือนต่อมา
สมบัติอริยะที่ใช้เป็นจานกระบวนสิบหกชิ้น และสมบัติอริยะที่ใช้เป็นธงกระบวนยี่สิบสี่ชิ้นถูกหลินสวินหลอมสำเร็จอย่างราบรื่น
แค่การสลักลายมรรคลงบนสมบัติอริยะ ไม่ได้ยากเกินมือหลินสวินสักนิด
หนึ่งเดือนต่อมา
หลินสวินหลอมทรายทองผลึกอากาศกองแล้วกองเล่า รวมทั้งสิ้นราวๆ หนึ่งแสนชั่ง
แค่เพียงจัดวางกระบวน ‘สี่ยอดแปดพิทักษ์’ เท่านั้น วัสดุวางกระบวนเหล่านี้มีมากจนเหลือเฟือ
และเป็นวันนี้ที่เซ่าเฮ่าได้รับบาดเจ็บกลับมา ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในค่ายโกลาหล แต่ละคนตกใจปนสงสัยไม่หยุด
บรรยากาศที่สงบเงียบแต่เดิมปกคลุมด้วยเมฆดำชั้นหนึ่ง
“พี่หลิน ศัตรูจากแปดดินแดนเดาได้แล้วว่าพวกเราหมายจะสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่ ในช่วงเวลาต่อจากนี้เกรงว่าจะมีศัตรูร้ายกาจจำนวนมากมารุกรานเป็นแน่”
เซ่าเฮ่าเอ่ยปากเสียงเข้ม
วันนี้เขาออกไปเคลื่อนไหวข้างนอก และบังเอิญพบมกุฎอริยะจากแปดดินแดนสามคนแฝงตัวเข้ามาในโลกรกร้างโบราณ หลังผ่านการต่อสู้ดุเดือนฉากหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ถูกเขาสังหารสองคน หนีรอดไปหนึ่งคน
เขาจึงบาดเจ็บเพราะเหตุนี้ ไม่ได้ร้ายแรง แต่ก็ไม่เบาเลย
เพียงแต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เซ่าเฮ่าตัดสินได้ทันที ว่าศัตรูจากแปดดินแดนต้องตระหนักได้ถึงแผนการสร้างเมืองอารักษ์มรรคขึ้นมาใหม่ของพวกเขาแล้วอย่างแน่นอน!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท