Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1559 แผนการของเซวี่ยชิงอี

ตอนที่ 1559 แผนการของเซวี่ยชิงอี
ผู้ที่ได้รู้ข่าวตั้งแต่จังหวะแรกไม่ได้มีเพียงค่ายทัพดินแดนโบราณขุมอุดร
ค่ายทัพอื่นๆ อย่างดินแดนโบราณยอดหยิน ดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ ดินแดนโบราณจิ่วหลี ดินแดนโบราณต้าหลัว ดินแดนโบราณหม่อนบูรพาก็ทยอยรู้ข่าวอย่างต่อเนื่อง
“พวกสวะไร้ค่า!”
โลกจิ่วหลี ตอนที่ชืออู๋ซู่รู้ข่าว เขากำลังปิดด่าน โกรธจนควันออกเจ็ดทวาร ไอสังหารเดือดปะทุ ทำเอาคนใหญ่คนโตมากมายเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
“ขายหน้าครั้งใหญ่นัก…”
โลกยอดหยิน จู๋อิ้งคงสีหน้าอึมครึม เนิ่นนานกว่าจะพ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมาเฮือกหนึ่ง
“หลินสวินนี่ถึงกับเป็นถึงนักสลักลายมรรคที่ฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่งด้วย ช่างเหนือความคาดหมายของผู้คนซะจริงๆ!”
โลกต้าหลัว เจี้ยนชิงเฉินสีหน้าสงบนิ่งเฉกเช่นที่ผ่านมา
แต่ตอนเสียงเขาสิ้นสุด คนใหญ่คนโตทุกคนในที่นั้นล้วนเหมือนนั่งบนพรมเข็ม ราวกับหนามทิ่มหลัง ภายในใจระส่ำระสายไม่มั่นคง
“ตัวคนเดียวก็โค่นทัพใหญ่เจ็ดดินแดนของพวกเราได้หรือ ใช้ได้อยู่นี่!”
โลกอสูรดาว เสียงสือพั่วไห่เย็นชา เตะโต๊ะเบื้องหน้าพลิกคว่ำในคราเดียว ข้าวของเกลื่อนพื้น
นอกจากนี้เลี่ยเฉียนจากดินแดนโบราณเพลิงสวรรค์ ฮว่าหงเซียวจากดินแดนโบราณหม่อนบูรพา ไม่มีใครไม่โกรธจัดเพราะข่าวนี้
ดินแดนที่ถูกพวกเขามองว่าแร้นแค้น เสื่อมถอย เปราะบาง ยามนี้เพียงเพราะมีบุคคลอย่างหลินสวินโผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง ก็ทำให้การบุกโจมตีของเจ็ดดินแดนใหญ่ของพวกเขาต้องพ่ายแพ้ยับเยิน ทัพใหญ่สูญสิ้น นี่ก็คือความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อนชัดๆ!
ชั่วขณะหนึ่งเจ็ดค่ายทัพต่างสะท้านสะเทือน เกิดความฮือฮาปั่นป่วนเพราะข่าวนี้ไม่รู้เท่าไหร่
“หลินสวินนี่น่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ หรือ ตัวคนเดียวก็สังหารมกุฎอริยะเจ็ดสิบคน ทัพใหญ่สองแสนกว่าคนก็ดับสิ้นจนหมด?”
ปฏิกิริยาแรกของคนมากมายก็คือ เป็นไปไม่ได้!
“ในดินแดนรกร้างโบราณ มีพวกกร้าวแกร่งเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร”
และมีคนตกใจแกมสงสัยไม่หยุด
“พ่ายแพ้ย่อบยับระดับนี้ ทำพวกเราเสียหน้ากันหมดชัดๆ แค้นนี้ต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
คนจำนวนมากกว่ากลับเดือดดาลต่อเรื่องนี้ รู้สึกอัปยศอย่างยากจะบรรยาย
เมื่อก่อนพวกเขาพากันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินสวินคือของใคร
และตอนที่โลกมารโลหิตประสบการโจมตีรุนแรง อริยะมากมายบาดเจ็บล้มตาย แม้แต่เมืองอารักษ์มรรคยังถูกคนผู้เดียวปิดล้อม หลินสวิน ชื่อนี้ถึงได้อยู่ในสายตาพวกเขาอย่างแท้จริง
แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
สำหรับผู้แข็งแกร่งต่างดินแดนเหล่านั้น แม้ดินแดนรกร้างโบราณจะมีพวกร้ายกาจอย่างหลินสวินโผล่มาก็ยากจะเปลี่ยนสภาพการณ์ใดๆ ได้ ยังคงห่างชั้นไม่มีคุณสมบัติต้านทานพวกเขาอยู่ดี
แต่ใครก็ไม่อาจคาดถึง ว่าแค่เพราะหลินสวินเพียงคนเดียว ดินแดนรกร้างโบราณกลับต้านการบุกโจมตีของทัพใหญ่เจ็ดดินแดนเอาไว้ได้!
เขาคนเดียวก็กวาดล้างทัพใหญ่เจ็ดดินแดน พลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายชนะ!
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปชัดๆ ทำเอาผู้แข็งแกร่งต่างดินแดนเหล่านั้นล้วนหน้าเปลี่ยนสี รู้สึกใจไหวสั่น และรู้สึกอัปยศหาใดเปรียบ
ประกายคมของหลินสวินเด่นชัดเกินไป
ตั้งแต่เขามีชื่อในสมรภูมิเก้าดินแดน ก็เคลื่อนขวางต่อสู้ ไร้พ่ายทุกศึก
ไม่ว่าจะเป็นในโลกมารโลหิต ก็บุกสังหารสามหมื่นลี้ตลอดทาง ปิดล้อมเมืองด้วยตัวคนเดียว หรือจะเป็นในส่วนลึกของทะเลทรายที่สังหารเหล่ามกุฎอริยะ ช่วยชีวิตเซ่าเฮ่าจากคราวเคราะห์
หรือจะเป็นครั้งนี้ที่ใช้พลังแห่งตนพลิกเมฆคว่ำฝน สยบทัพใหญ่เจ็ดดินแดน ผลงานการต่อสู้นองเลือดที่เขาสร้างครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่ให้ผู้คนสะท้านไหวขวัญหนีได้อย่างไร
“หลินสวินนั่นแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่”
นี่คือข้อสงสัยภายในใจของผู้แข็งแกร่งต่างดินแดนมากมาย
“คิดฆ่าเจ้านั่น คาดว่ามีแต่ให้พวกสะท้านโลกอย่างแปดยอดนภาครามลงมือเท่านั้นแล้ว”
และมีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น
หลินสวินสังหารทัพใหญ่เจ็ดดินแดนครั้งนี้ ดูเหมือนพลังต่อสู้ไร้เทียบเทียม ความเป็นจริงกลับหยิบยืมพลังผนึกอริยมรรค มีแผนการเล่ห์กลประกอบอยู่มาก
พลังต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเขา แม้จะแข็งแกร่งยิ่ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะประกาศตนว่าไร้ทัดเทียมในสมรภูมิเก้าดินแดนแห่งนี้!
“น่าชังนัก แพะสองขาดินแดนรกร้างโบราณที่เชือดสังหารได้ทุกเมื่อพวกนั้น ตอนนี้มีหลินสวินนี่เป็นที่พึ่งต้องได้ใจกันมาก คิดว่ามีคุณสมบัติมาท้าทายอำนาจพวกเราได้แล้วแน่ๆ”
คนมากมายต่างลอบกัดฟัน
“เฮอะ! นั่นเพราะพวกเขาไม่รู้จักความหวาดกลัว แค่หลินสวินคนเดียวก็คิดจะพลิกฟ้าหรือ เพ้อพก!”
“คอยดูเถอะ ความอัปยศครั้งนี้จะต้องเอาคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าให้ได้! แพะสองขาอย่างไรก็เป็นแพะสองขา ยากจะเปลี่ยนแปลงฐานะ!”
เสียงดาลเดือดและเคียดแค้นดังขึ้นในค่ายทัพต่างๆ ไม่จบไม่สิ้น
แต่ไม่ว่าใครต่างไม่อาจปฏิเสธว่าหลินสวินแข็งแกร่งมาก เป็นพวกร้ายกาจที่สามารถทำให้พวกเขาให้หันมอง ถึงขั้นรู้สึกกริ่งเกรงคนหนึ่ง!
……
โลกมารโลหิต
เมืองอารักษ์มรรค ภายในหอชัยชนะ
สภาวะจิตของเหล่าคนใหญ่คนโตดินแดนโบราณมารโลหิตในเวลานี้แปลกประหลาดยิ่ง มีความรู้สึกเบิกบานอย่างบอกไม่ถูก และรู้สึกละอายไม่สงบอย่างหนึ่งด้วย
ข่าวการแพ้ย่อยยับของทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนในครั้งนี้ก็ถูกพวกเขารับรู้แต่แรก และสะท้านสะเทือนยากจะเชื่อได้ลงเช่นกัน
แต่หลังจากสงบลง ผู้แข็งแกร่งดินแดนโบราณมารโลหิตเหล่านี้ไม่มีใครไม่รู้สึกยินดี ยินดีที่ตอนนั้นเซวี่ยชิงอีปฏิเสธโดยไม่สนสิ่งใด เลือกจะอดทนไม่ออกศึก
หาไม่ย่อมลงเอยแบบเดียวกับเจ็ดดินแดนอื่น!
กล่าวอย่างไม่เกินจริง เป็นเพราะการตัดสินใจในครานั้นของเซวี่ยชิงอี ทำให้พวกเขาดินแดนโบราณมารโลหิตเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายครั้งนี้ไปได้!
“ทุกท่าน พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าหลินสวินดาบเล่มนี้คมกริบปานใด ตอนนี้พวกเจ้า… ยังจะโทษว่าข้าเซวี่ยชิงอีอ่อนแอขี้ขลาดอยู่อีกหรือไม่”
บนตำแหน่งประธาน เซวี่ยชิงอีลูบปลายคาง เอ่ยปากเนิบนาบ
พูดตามตรง ตอนแรกที่ได้ยินข่าวนี้เขาเองก็ตกใจเช่นกัน เขาพอจะเดาได้ว่าหลินสวินต่อกรด้วยไม่ใช่ง่ายๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินไม่เพียงยากจะต่อกร แต่ยังดุดันอย่างที่สุดด้วย!
แต่หลังจากความตกใจผ่านไป ในใจเซวี่ยชิงอีก็สะใจนัก
ก่อนหน้านี้โลกมารโลหิตเสียหายอย่างหนัก เขายึดมั่นในความคิดของตน ตัดสินใจอดกลั้นไว้ก่อนชั่วคราว แต่กลับถูกมองเป็นพวกขี้ขลาดไร้น้ำยา ชื่อเสียงเสื่อมเสีย กลายเป็นตัวตลก นี่ก็ทำให้ในใจเขาเดือดดาลอยู่เช่นกัน
ตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาสระบายออกมาแล้วแล้ว!
ในโถงใหญ่ เหล่าคนใหญ่คนโตดินแดนโบราณมารโลหิตสีหน้าอักอ่วน เหยเกอย่างมาก ไม่กล้าสบสายตาเซวี่ยชิงอี
ตอนแรกพวกเขาก็ไม่พอใจวิธีการของเซวี่ยชิงอีเช่นกัน เคยต่อว่าด้วยเรื่องนี้ไม่รู้เท่าไหร่
“เอาล่ะ ข้าไม่คิดจะถือโทษทุกคน”
เซวี่ยชิงอีเอ่ยปาก “ข้าเพียงแต่ใคร่รู้ ว่าพวกที่เคยหัวเราะเยาะพวกเรา ตอนนี้ยังหัวเราะออกกันอยู่หรือไม่”
ประโยคเดียวพาให้ทุกคนอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ บรรยากาศในห้องโถงก็พลอยผ่อนคลายลงไม่น้อย
เซวี่ยชิงอีเก็บรอยยิ้ม กล่าวเสียงเข้มว่า “หากข้าเดาไม่ผิด พวกคุนเซ่าอวี่ เจี้ยนชิงเฉิน จู๋อิ้งคงนั่น เกรงว่าตอนนี้คงกำลังวางแผนว่าจะล้างแค้นกู้หน้าคืนมาอย่างไร…”
“นายน้อย พวกเราก็ควรเคลื่อนไหวบ้างด้วยหรือไม่”
มีคนอดถามไม่ได้
เซวี่ยชิงอีแค่นเสียงเย็น “เคลื่อนไหวอะไร นั่งบนภูดูเสือสู้กันไม่ยิ่งดีกว่าหรือ ถึงครั้งนี้ทัพใหญ่เจ็ดดินแดนจะพ่ายแพ้ แต่การสูญเสียของแต่ละดินแดน ก็มีแค่มกุฎอริยะสิบคนและกำลังพลสามหมื่นเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วความเสียหายของพวกเราโลกมารโลหิตก่อนหน้านี้มีมากกว่าด้วยซ้ำ!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนต่างนิ่งเงียบ
ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินอยู่โลกมารโลหิต ได้บุกสังหารจากป่าหลอมจิตมาจนถึงหน้าเมืองอารักษ์มรรค ลำพังแค่มกุฎอริยะที่ตายด้วยน้ำมือเขาก็มีมากถึงสามสิบคนแล้ว หากเทียบกัน การสูญเสียนี้ก็ร้ายแรงกว่าเจ็ดดินแดนอื่นจริงอย่างว่า
จู่ๆ เซวี่ยชิงอีก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง กล่าวว่า “แต่ต่อไปพวกเราอยากนั่งบนภูดูเสือสู้กันเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้ว ว่ากันถึงที่สุด ขุมอำนาจแปดดินแดนเคยมีสัญญา ‘ตัดรกร้างโบราณก่อน ค่อยประชันสูงต่ำ’ แม้ว่าอยากจะกอดอกยืนชมอยู่ข้างๆ แต่เจ็ดดินแดนอื่นย่อมไม่ยอมให้ทำแน่”
“นายน้อย ความหมายของท่านคือ?”
มีคนอดถามไม่ได้
“เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไปก่อนเถอะ เชื่อว่าหากเจ็ดดินแดนอื่นมีการเคลื่อนไหวอีก จะต้องดึงพวกเราไปร่วมด้วยแน่ ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
เซวี่ยชิงอีขบคิดอยู่นานก่อนเอ่ยปากเนิบช้า
ครั้งนี้พลังที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้เขาเองก็ได้กลิ่นภัยคุกคามร้ายแรง โยนความเห็นแก่ตัวทิ้งไปไม่เอ่ยถึง การที่สามารถสังหารหลินสวินได้โดยเร็ว นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
ในความคิดเซวี่ยชิงอี ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณยังคงไม่ควรค่าแก่การให้ความสำคัญ มีแต่หลินสวินที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจชิ้นใหญ่
ขอเพียงสามารถสังหารหลินสวินได้ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณย่อมแตกสลายย่อยยับ ไม่เหลือภัยคุกคามให้พูดถึงอีกต่อไป!
น่าเสียดาย เซวี่ยชิงอีเองก็รู้ดีว่า การสังหารพวกร้ายกาจอย่างหลินสวินหาใช่เรื่องง่ายดาย
“หากค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณคิดจะต่อต้านพวกเราแปดดินแดน สิ่งที่ขาดมากที่สุดคืออะไร”
จู่ๆ เซวี่ยชิงอีก็เอ่ยขึ้น
ไม่รอให้ทุกคนเอ่ยปากเขาก็กล่าวต่อเองว่า “ก็คือจำนวนมกุฎอริยะ! อาศัยหลินสวินคนเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ เว้นแต่จะมีมกุฎอริยมากขึ้น พวกเขาถึงจะมีรากฐานพลังพอให้มาท้าทายอำนาจพวกเราได้”
กล่าวถึงตรงนี้เซวี่ยชิงอีอดยิ้มไม่ได้
“หากข้าเป็นหลินสวิน ในช่วงต่อจากนี้ต้องคิดหาวิธีโดยเร็วช่วยผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติบรรลุมกุฎอริยะในค่ายทัพ ไขว่คว้าโอกาสบรรลุมกุฎอริยะอย่างแน่นอน!”
“และโอกาสของมกุฎอริยะ… ก็มีแต่ในแดนลับสนามแม่เหล็กที่จะมาเยือนอีกครึ่งปีให้หลังเท่านั้น ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณของเขาย่อมไม่อาจพลาด”
นัยน์ตาสีแดงฉานของเขาเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ น่าสะพรึงหาใดเปรียบ “หากจะวางแผนฆ่าหลินสวิน นี่ก็คือโอกาสงามที่สุด!”
ทว่ากล่าวถึงตรงนี้เซวี่ยชิงอีก็ส่ายหน้าเบาๆ อีกครั้ง “แต่โอกาสเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินไป หากแปดดินแดนร่วมแรงร่วมใจกันก็น่าจะสังหารเจ้าหลินสวินนี่ได้ แต่ถ้าหากปล่อยให้มันหนีรอด ผลที่ตามมาย่อมเป็นภัยครั้งใหญ่แน่นอน”
“ดังนั้นวิธีที่เหมาะที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่แดนลับสนามแม่เหล็กมาเยือน ให้เตรียมกำลังพลชั้นยอดของแปดดินแดนเข้าสู่แดนลับสนามแม่เหล็กพร้อมกัน สังหารคนที่มีคุณสมบัติบรรลุมกุฎอริยะของดินแดนรกร้างโบราณให้หมด!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับกำจัดรากฐานพลังของดินแดนรกร้างโบราณที่จะใช้ต่อต้านพวกเราแปดดินแดน ถึงตอนนั้นอาศัยแค่มกุฎอริยะไม่กี่คนอย่างพวกหลินสวิน ย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพพ่ายแพ้ได้อย่างแน่นอน”
เซวี่ยชิงอีเหยียดตัวเต็มความสูง สายตากวาดมองทุกคนแล้วกล่าวว่า
“จำไว้ ในช่วงนี้ก่อนที่แดนลับสนามแม่เหล็กจะมาเยือน ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณหน้าไหนโผล่มาในโลกมารโลหิต ให้ฆ่าทั้งหมด!”
“ไม่ว่าในอาณาเขตของพวกเราจะมีพวกมกุฎอมตะเคราะห์ด่านเก้าของดินแดนรกร้างโบราณโผล่มาหรือไม่ ยอมฆ่าผิดตัวนับพันดีกว่าปล่อยให้เล็ดลอดไปสักคน!”
“อีกอย่าง ใช้ชื่อของข้ากระจายข่าวนี้ไปยังเจ็ดดินแดนอื่น บอกว่าการจะทำลายดินแดนรกร้างโบราณ ต้องกำจัดบุคคลขอบเขตมกุฎแต่ยังไม่บรรลุอริยะพวกนั้นให้ได้ก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้พลังต่อสู้ของหลินสวินจะไร้เทียมทาน แต่ปรบมือคนเดียวยากจะเกิดเสียงดัง เมื่อเป็นเช่นนี้ดินแดนรกร้างโบราณต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”
“หากพวกผู้นำเจ็ดดินแดนไม่โง่ ก็น่าจะรู้ดีว่าต่อไปต้องปรับวิธีเคลื่อนไหวแบบไหน แน่นอน สุดท้ายพวกเขาจะฟังคำชี้แนะของข้าหรือไม่ ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
กล่าวจบเขาก็เดินมือไพล่หลังออกจากโถงใหญ่ เงาร่างสูงองอาจมาดมั่น
การต่อสู้ที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เขาเซวี่ยชิงอี ช้าเร็วก็ต้องล้างความอัปยศที่ประสบมาทั้งหมดให้จงได้!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท