แดนนิรมิตเทพ บทที่ 383
ท่ามกลางฝูงชน บางคนมองเฉินโม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? เดาว่าการที่เขาแอบเข้ามาเพราะต้องการกินฟรีดื่มฟรี!”
“มองแวบเดียวก็ดูออกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เดาว่าผู้ปกครองของเขาน่าจะเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่นเหมือนกัน”
“ทางที่ดีควรอยู่ให้ห่างจากคนแบบนี้ บางทีเขาอาจจะตื้อเราไม่ปล่อยเหมือนหมาขี้เรื้อน”
เหล่าคนดังที่แต่งตัวดี สตรีผู้สูงศักดิ์และสง่างามถือไวน์แดงอยู่ในมือ มองเฉินโม่ราวกับจะหลีกเลี่ยงโรคระบาด
มู่หรงยานเอ๋อร์มองเย่เทียนหนิงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและโมโห กล่าวด้วยความเย็นชาว่า “เย่เทียนหนิง คราวนี้คุณทำมากเกินไปแล้ว! ต่อไปพวกเราจะไม่สามารถเป็นได้แม้แต่เพื่อนแล้ว!”
เย่เทียนหนิงชี้เฉินโม่ และตะโกนด้วยความโมโหไปทางมู่หรงยานเอ๋อร์ “มู่หรงยานเอ๋อร์ เธอสามารถกอดเขาได้ แต่กลับใจร้ายกับฉันขนาดนี้ วันนี้ฉันจะเปิดเผยธาตุแท้ของเขา เพื่อให้เธอได้เห็นว่าใครถึงจะเป็นคนที่คู่ควรกับคุณ!”
หลังจากเย่เทียนหนิงกล่าวจบ เขาหันไปมองเจิ้งไห่เวย “คุณเป็นผู้ที่รับผิดชอบของที่นี่ใช่ไหม? ผมชื่อเย่เทียนหนิงเป็นเพื่อนของประธานฟางของพวกคุณ บุคคลนี้ไม่มีบัตรเชิญ เขาแอบเข้ามา คุณไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากกล่าวจบเย่เทียนหนิงมองเฉินโม่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
มู่หรงยานเอ๋อร์โกรธจนตัวสั่น ชี้ไปที่เย่เทียนหนิงเป็นเวลานาน แต่พูดอะไรไม่ออก
เหล่าคนดังจากทุกสาขาอาชีพเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เบา ๆ “เย่เทียนหนิง ดูเหมือนว่าผมเคยได้ยินเรื่องของเด็กคนนี้ เขาเป็นลูกชายของตระกูลเย่แห่งมณฑลซีไห่ มิน่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงหยิ่งผยองขนาดนี้”
“ไอ้หนุ่มนั่นกล้าล่วงเกินคุณชายของตระกูลเย่ ดูแล้วเขาจะโชคร้ายเสียแล้ว”
สีหน้าของเฉินโม่ราบเรียบ มองเย่เทียนหนิงเจตนาฆ่าประกายอยู่ในดวงตา พวกเขาทำเช่นครั้งแล้วครั้งเล่า ฉินโม่สามารถเพิกเฉยได้ แต่จะไม่ให้อภัยเขา
เจิ้งไห่เวยผู้จัดการล็อบบี้ถามอีกครั้ง “คุณครับ โปรดแสดงบัตรเชิญของคุณด้วย!”
เฉินโม่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมไม่มีบัตรเชิญ จินเพ่ยอวิ๋นเป็นคนเชิญผมมา ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ พวกคุณสามารถไปถามเธอได้”
ด้วยชื่อของจินเพ่ยอวิ๋นแล้ว สามารถพูดได้ว่าเหล่าคนดังที่อยู่ที่นี่ล้วนรู้จักเธอ และแม้แต่เจิ้งไห่เวยก็รู้ว่าจินเพ่ยอวิ๋นเป็นใคร?
แล้วจินเพ่ยอวิ๋นเป็นลูกที่ภูมิใจของตระกูลจิน จะเชิญนักเรียนมัธยมปลายได้อย่างไร? แม้แต่เหล่าคนดังที่อยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จินเพ่ยอวิ๋นจะไปเชิญด้วยตนเอง
ดังนั้น ทุกคนจึงเชื่อเฉินโม่กำลังโกหก
เจิ้งไห่เวยหัวเราะเยาะเย้ย มองฉินโม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “ไอ้หนุ่ม นายรู้อย่างชัดเจนว่าคนใหญ่คนโตอย่างคุณหนูจิน ไม่ใช่คนที่พวกเราอยากจะพบเห็น ก็จะสามารถพบเห็นได้ ดังนั้นนายเจตนาอ้างชื่อคุณหนูจินเพื่อทำให้ผมลำบากใจใช่ไหม?”
“ถ้านายไม่สามารถแสดงบัตรเชิญออกมาได้ เชิญออกไปเดี๋ยวนี้!”
เจิ้งไห่เวยตัดสินใจแล้วว่าเฉินโม่โกหก โรงแรมว่านเซี่ยงเป็นธุรกิจของฟางปู้ถงเศรษฐีแห่งชิ่งหยาง ผู้รับผิดชอบบริหารคือฟางหยู่ฉิงลูกสาวของฟางปู้ถง และฟางหยู่ฉิงเป็นเพื่อนสนิทของจินเพ่ยอวิ๋น ซึ่งจินเพ่ยอวิ๋นมักจะมาหาฟางหยู่ฉิงประจำ ดังนั้นเจิ้งไห่เวยจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับจินเพ่ยอวิ๋น แต่เขาไม่เคยรู้ว่าจินเพ่ยอวิ๋นมีมิตรภาพอะไรกับนักเรียนมัธยมปลาย
เฉินโม่มองเจิ้งไห่เวยด้วยสีหน้าเย้ยหยันและกล่าวด้วยความจำใจว่า “ผมบอกแล้วแต่คุณไม่เชื่อ งั้นผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้”
เจิ้งไห่เวยพ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ในเมื่อนายไม่มีบัตรเชิญ ฉันในฐานะผู้จัดการล็อบบี้ของที่นี่ มีสิทธิ์ที่จะไล่นายออกไป!”
ความจริงแล้วเมื่อสักครู่เจิ้งซิ่วลี่ได้แจ้งเจิ้งไห่เวยแล้ว หากไม่ได้รับการยืนยันตัวตนของเฉินโม่ว่าเป็นเพียงนักเรียนที่ย้ายมาจากอำเภอเล็ก ๆ เจิ้งไห่เวยผู้จัดการล็อบบี้นั้นไม่กล้าล่วงเกินคนที่มาที่นี่อย่างแน่นอน
เฉินโม่ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจคนพวกนี้ ต้นไม้หวังอยู่นิ่ง แต่ลมกลับไม่หยุดพัด ตนเองให้เกียรติคนเหล่านั้นแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจ กลับวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น
“เดี๋ยวก่อน ผมจะโทรหาจินเพ่ยอวิ๋น!” เพื่อที่จะได้เห็นเครื่องรางแล้ว เฉินโม่ยังไม่สามารถไปจากที่นี่ได้ เขาทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากจินเพ่ยอวิ๋น
เมื่อได้ยินว่าเฉินโม่จะโทรไปหาจินเพ่ยอวิ๋น ทำให้เจิ้งไห่เวยตกตะลึงเล็กน้อย และกล่าวด้วยความสงสัยว่า “นายคงจะไม่ใช่เพื่อนของคุณหนูจินจริง ๆ ใช่ไหม?”
ฝูงชนที่อยู่ด้านข้าง ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาหยุดสนทนาทันที ทุกคนต่างจ้องมองที่เฉินโม่อย่างเงียบ ๆ