แดนนิรมิตเทพ บทที่ 406
“เฉินไต้ซือ เรื่องเมื่อวันก่อนผมได้ทราบมาแล้วครับ ผิดที่ลูกสาวไร้การสั่งสอน ทำให้คนพวกนั้นมีโอกาสหลอกใช้งาน ทำให้เฉินไต้ซือลำบากใจ วันนี้ผมจงใจพาตัวลูกสาวมาด้วยเพื่อทำการขอขมาอภัยครับ!” ฟางปู้ถงโค้งคำนับทำความเคารพ
“ไม่จำเป็นหรอก ก็แค่เรื่องเล็กน้อย วันนี้ที่ผมเรียกพวกคุณมา ก็เพราะมีเรื่องอย่างอื่น”
เฉินโม่คาดเดาว่า ฟางปู้ถงจะต้องเข้าใจผิดถึงสาเหตุที่เขาเรียกรวมตัวในวันนี้แน่นอน คิดว่าจะทำการเอาผิด บวกกับเรื่องที่หนานกงหลินเทียนและว่านเหวินโยวมา ฟางปู้ถงจึงรู้สึกกลัว ดังนั้นจึงได้พาตัวฟางหยู่ฉิงมาขอขมาอภัยด้วยตัวเอง
อย่างที่คิด เมื่อเฉินโม่พูดจบ สีหน้าของฟางปู้ถงก็โล่งใจขึ้นทันที
“เฉินไต้ซือ ไม่ทราบว่ามีอะไรต้องการจะสั่งการครับ?” ฟางปู้ถงถาม
แล้วเฉินโม่ก็พูดสิ่งที่พูดกับพวกผู้มีอิทธิพลพวกนั้นอีกรอบ ในที่สุดฟางปู้ถงก็สบายใจ รับแผ่นหยกมา แล้วพาตัวฟางหยู่ฉิงจากไปอย่างมีความสุข
เพียงแต่ก่อนจะกลับ สายตาที่ฟางหยู่ฉิงมองไปที่เฉินโม่นั้นมีความขุ่นเคืองอย่างมาก ว่าไปแล้วเธอมีอายุมากกว่าเฉินโม่หลายปี แต่ตอนนี้กลับได้คุกเข่าขอโทษให้กับเด็กน้อยคนหนึ่ง และที่อับอายที่สุดก็คือ ที่จริงแล้วฟางหยู่ฉิงไม่จำเป็นต้องคุกเข่า แต่เป็นเพราะฟางปู้ถงพ่อของเธอเข้าใจเฉินโม่ผิด
เฉินโม่อยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลสาบกลับคืนรังได้สองวัน ผู้มีอิทธิพลทั้งสิบเจ็ดเมืองทั่วฮ่านหยางต่างก็มากันหมดแล้ว แผ่นหยกทั้งยี่สิบแผ่นก็ได้แจกจ่ายไปจนหมดเรียบร้อย
“ตอนนี้เหลือแค่รอคนพวกนี้หาหินทิพย์มา หากหาหินทิพย์เจอแล้ว ก็สามารถสร้างค่ายกลได้แล้ว!” เฉินโม่คิดวิเคราะห์ในใจ
เมืองฮ่านหยาง ภายในคฤหาสน์ของว่านฉางหรู
ขาของว่านเหวินโยวได้ทำการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี แต่ถ้าหากคิดอยากจะเดิน อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี
ว่านเหวินโยวนอนอยู่บนเตียง มองดูสีหน้าเคร่งขรึมของว่านฉางหรู ถามว่า “พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นอีกงั้นหรือครับ?”
ว่านฉางหรูถอนหายใจ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คฤหาสน์ของเราที่อยู่ริมทะเลสาบกลับคืนรังแห่งอู่โจว ถูกเฉินโม่ยึดครองไปแล้ว”
ว่านเหวินโยวสีหน้าปกติ แต่ลมหายใจแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในสายตามีความโกรธแค้นอย่างหนัก “ทางด้านตระกูลหนานกงมีข่าวคราวอะไรมั้ยครับ? แล้วจะไปแก้แค้นเฉินโม่กันเมื่อไหร่?”
ว่านฉางหรูส่ายหัว “ฉันเคยถามทางตระกูลหยางมาแล้ว แต่ไม่มีคำตอบกลับมาสักที ครั้งนี้พวกเราเองก็ถูกตระกูลหยางเล่นงานอีกแล้วหรือเปล่า?”
ว่านเหวินโยวขมวดคิ้ว “ตระกูลหยางเป็นถึงหนึ่งในหกตระกูลมหาอำนาจแห่งยานจิง คงไม่จำเป็นต้องมาหลอกเราเล่น คาดว่าน่าจะเป็นเพราะทางตระกูลหนานกงยังชักช้าคิดวิเคราะห์อยู่ พวกเราก็รออย่างใจเย็นแล้วกันครับ!”
“นายคิดว่าถ้าหากพวกเราขอความช่วยเหลือจากทางรัฐ ทางรัฐจะลงมือจัดการกับเฉินโม่มั้ย?” ว่านฉางหรูถาม
แม้ว่าว่านเหวินโยวจะยังหนุ่ม แต่ก็ฉลาดอย่างมาก เมื่อหลายปีก่อนก็ได้ขึ้นเป็นมือซ้ายมือขวาของว่านฉางหรูแล้ว ไม่ว่าว่านฉางหรูจะตัดสินใจอะไร ก็ล้วนจะปรึกษาหารือกับว่านเหวินโยวก่อน
ครั้งนี้เฉินโม่หักขาของว่านเหวินโยว ทำเอาตระกูลว่านเจ็บหนัก แต่เมื่อเห็นพลังอำนาจของเฉินโม่ที่แสดงออกมาให้เห็น ตระกูลว่านจึงทำได้แค่โมโหเท่านั้น
ถ้าหากพวกเขาไปหาเรื่องเฉินโม่ก่อน ก็จะทำให้เฉินโม่มีเหตุผลในการทำลายล้างตระกูลว่านได้พอดี
แต่ว่า ว่านฉางหรูไม่พอใจที่จะต้องนั่งรอคอยอยู่เช่นนี้ เฉินโม่เข้าใกล้หนึ่งก้าว พวกเขาก็ต้องถอยหนึ่งก้าว นี่ไม่ใช่วิธีการจัดการปัญหาของมหาเศรษฐีแห่งฮ่านหยางอย่างพวกเขา
ดังนั้น ว่านฉางหรูจึงคิดอยากจะใช้อำนาจของทางรัฐมาจัดการกับเฉินโม่
ว่านเหวินโยวคิดวิเคราะห์ คาดการณ์ความเป็นไปได้หลายทาง แต่สุดท้ายก็ส่ายหัว “ไม่ได้ครับ เจ้าหนุ่มคนนั้นมีท่านปรมาจารย์คุ้มครอง หากไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เลวร้ายมากเกินไป ทางรัฐไม่มีทางเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยแน่นอนครับ”
“ขาของผมรวมทั้งคฤหาสน์หนึ่งหลัง คงจะแลกกับการที่ทางรัฐไปสอบปากคำปรมาจารย์สักท่านหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้ทางรัฐเสียสละกองทัพทหารเพื่อไปจัดการกับเขา”
“แค้นนี้ พวกเราทำได้แค่อดทนอดกลั้นไปก่อน แล้วรอให้ทางตระกูลหนานกงลงมือจัดการครับ”
“ก็ได้ ฉันจะไปถามตระกูลหยางอีกครั้ง ว่าทางตระกูลหนานกงคิดอยากจะทำอะไรกันแน่?”
ว่านฉางหรูจากไป สีหน้าดูทรุดโทรม เขาเข้าวงการธุรกิจมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ในกำมือของเฉินโม่หลายครั้ง เหมือนว่าเฉินโม่เป็นตัวซวยที่ถูกกำหนดไว้ในชีวิตของเขา
“เฉินโม่ไม่ตาย ฉันก็คงใช้ชีวิตไม่สงบสุข!” ว่านฉางหรูคิดสาบานในใจ