Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1572 อานุภาพกระบวนทัพ

ตอนที่ 1572 อานุภาพกระบวนทัพ
ทะเลผาดำ
ตั้งอยู่ในแถบตะวันตกสุดของโลกรกร้างโบราณ น้ำทะเลที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏสีดำลึกล้ำราวกับรัตติกาลนิรันดร์ ลมพายุโหมกระหน่ำตลอดทั้งปี คลื่นน้ำประหนึ่งมังกรดำทะลวงฟ้าตัวหนึ่ง ยิ่งใหญ่โออ่าอย่างที่สุด
ตอนนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันจากสี่ด้านแปดทิศ
บนฝั่งทะเลผาดำผู้คนหนาแน่น ผู้แข็งแกร่งในแต่ละขุมอำนาจของแปดดินแดนเบียดเต็มรอบบริเวณราวกับกระแสน้ำ
ในส่วนลึกของทะเลผาดำ กฎระเบียบฟ้าดินมากมายสลับทับซ้อน สาดละอองแสง กำลังสร้างประตูแดนลับบานหนึ่ง
ไม่นานแดนลับสนามแม่เหล็กก็จะมาเยือนทะเลผาดำแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เหอะๆ ก็ไม่รู้ว่าแพะดินแดนรกร้างโบราณที่หดหัวอยู่ในเมืองจะมาหรือไม่”
“แดนลับนรกโลกันตร์มาเยือนคราวก่อน พวกดินแดนรกร้างโบราณที่ไม่รู้จักประเมินตนถูกฆ่าจนแพ้ยับ เจอบทเรียนที่รุนแรงเช่นนี้พวกเขาจะกล้ามาได้อย่างไร”
“อย่าลืมว่าหลายวันมานี้พวกเราตระเวนอยู่ในโลกรกร้างโบราณแห่งนี้มาโดยตลอด ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาดินแดนรกร้างโบราณจะมีใครกล้าออกจากเมือง แม้แต่หลินสวินก็กลายเป็นเต่าหัวหด!”
ผู้ฝึกปราณมากมายกำลังพูดคุยกัน
มองไปอย่างละเอียด เงาร่างของพวกเขาส่ายไปมา เบียดเต็มชายฝั่งบริเวณนั้นอย่างหนาแน่น แต่ยังคงสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาแบ่งแยกเป็นแปดค่ายทัพ
“พูดถึงหลินสวิน หายากมากจริงๆ สถานที่ข้นแค้นและอ่อนแออย่างดินแดนรกร้างโบราณ เหตุใดจึงกำเนิดบุคคลร้ายกาจที่พลังต่อสู้น่าตกใจอย่างเขา”
มีคนประหลาดใจ
“ใครจะรู้ เจ้าหมอนั่นเคยปราบเมืองหนึ่งเพียงลำพัง ทำลายล้างทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนด้วยตัวคนเดียว พลังต่อสู้น่ากลัวมากจริงๆ”
หลายคนต่างกังวล
ภายใต้ชื่อเสียงล้วนสมคำร่ำลือ ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่านี้ หลินสวินเริ่มจากก่อกวนโลกมารโลหิตก่อน จากนั้นใช้พลังของตนสกัดขวางการบุกรุกของทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนเพียงลำพัง สุดท้ายยังสร้างเมืองอารักษ์มรรคแห่งใหม่ในโลกรกร้างโบราณได้สำเร็จราวกับปาฏิหาริย์!
ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ แม้ทอดสายตามองไปในแปดดินแดนยังเรียกได้ว่าหายาก แน่นอนว่าต้องดึงดูดสายตาและความสนใจมากเป็นพิเศษ
“หึ ถึงอย่างไรเขาก็หัวเดียวกระเทียมลีบ นอกจากนี้ครั้งก่อนที่เอาชนะทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนของพวกเราได้ ก็เพราะพึ่งกระบวนค่ายกลผนึกทั้งนั้น”
มีคนหัวเราะเยาะ
“ไม่ผิด ในช่วงที่ผ่านมาผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนของพวกเรารวมตัวกันที่นี่ เหตุใดหลินสวินจึงไม่กล้ากระโดดออกมาตอบโต้ เห็นได้ชัดว่ากลัวแล้ว!”
“รีบดูเร็ว!”
ตอนที่กำลังคุยกัน ผู้แข็งแกร่งทุกคนในที่นั้นล้วนตะลึงกับกลิ่นอายน่ากลัวระลอกหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ทันไรกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์มากมายพุ่งมาจากไกลๆ ราวกับรุ้งเทพที่งดงามมากมายมาเยือนโลก
“หนึ่งคน สองคน สามคน… สวรรค์ เพียงแค่บุคคลระดับอริยะแท้ก็มีถึงแปดร้อยกว่าคน จำนวนของมกุฎอริยะยิ่งทะลุร้อยไปแล้ว!”
เสียงอุทานด้วยความตกใจมากมายดังขึ้น ลิ้นจุกปากกันไปหมด
“เพียงแค่เข้าสู่แดนลับสนามแม่เหล็กเท่านั้น เหตุใดต้องเคลื่อนกำลังบุคคลระดับอริยะมากขนาดนี้”
หลายคนไม่เข้าใจ
“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว ที่กลุ่มอริยะมากมายรวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่เพียงเพื่อคุ้มครองพวกเราเข้าสู่แดนลับสนามแม่เหล็ก แต่ยังเพื่อสังหารหลินสวิน!”
มีคนพูดอย่างตื่นเต้น
“อริยะแท้แปดร้อยกว่าคน มกุฎอริยะมากกว่าร้อยคน ต่อให้มหาอริยะมาเองก็ต้องยอมถอย ขอเพียงหลินสวินกล้าปรากฏตัว ก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
เผชิญกับสถานการณ์ยิ่งใหญ่ที่อริยะกลุ่มนี้มารวมตัวกัน ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกหายใจไม่ออก อุทานด้วยความตกใจ ต่อให้คนที่ในใจเกรงกลัวหลินสวิน พอเห็นกระบวนทัพเช่นนี้ ความกลัวในใจก็ถูกวาดจนสิ้น
“ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินกล้ามาหรือไม่”
มีคนพึมพำ
บนท้องฟ้ามีคลื่นอากาศม้วนตลบเป็นระยะ สะท้อนบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ รุ้งเทพแต่ละสายเป็นตัวแทนการมาเยือนของอริยะหนึ่งคน
จนสุดท้ายในพื้นที่รัศมีพันลี้ ล้วนถูกบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม แสงสีมหัศจรรย์ซัดสาด บรรยากาศเคร่งขรึม
“หากอยู่ในโลกภายนอก จะได้เห็นภาพที่น่ากลัวหนึ่งเดียวในโลกเช่นนี้หรือ”
ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนต่างตื่นเต้น เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ยิ่งเชื่อมั่นว่าไม่ว่ามกุฎอริยะคนใดมาเยือน ก็จะต้องถูกฉีกจนละเอียดเป็นฝุ่นผง!
ในเวลาเดียวกันส่วนลึกของทะเลผาดำ ตำหนักสมบัติยิ่งใหญ่ที่แปลงมาจากสมบัติอริยะหลังหนึ่งปรากฏบนผิวทะเล เสาหลายต้นที่ต้องใช้หลายคนจึงสามารถโอบรอบได้สลักผนึกหงส์ลายมังกรแน่นขนัด
ในตำหนักสมบัติ มกุฎอริยะหลายสิบคนบ้างนั่งบ้างยืน
บนร่างของพวกเขาบ้างมีเจตกระบี่หนาแน่น บ้างมีประกายทองไหลเวียน บ้างมีเพลิงเขียวอบอวล แต่ละคนล้วนราวกับเทพในตำนาน น่าเกรงขามเหมือนดั่งท้องทะเล
โดยเฉพาะกลิ่นอายของผู้นำทั้งสามแสงประกายแผ่กว้างที่สุด กลิ่นอายส่องไพศาลดุจดั่งสุริยันจันทรา
เป็นเซวี่ยชิงอี ฮว่าหงเซียว สือพั่วไห่นั่นเอง
“ข้าผู้แซ่เซวี่ยขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมทัพ!”
บนที่นั่งประธาน เซวี่ยชิงอีลุกขึ้นประสานหมัดไปรอบๆ เขาดูเหมือนอ่อนเยาว์หล่อเหลา แต่ทุกอริยาบถกลับมีอานุภาพกลืนกินทั่วทิศ
“พี่เซวี่ยไม่ต้องเกรงใจ พวกข้าเองก็อยากรู้ว่าเจ้าคนที่ชื่อหลินสวินนั่นมีความสามารถอะไร”
สือพั่วไห่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยปาก เสียงดังราวกับฟ้าร้อง สะเทือนจนตำหนักสั่นไประลอกหนึ่ง
เขาก็เป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของดินแดนโบราณอสูรดาว เครื่องหน้าหยาบกระด้าง คิ้วตาห่างกว้าง รูปร่างกำยำ นั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับเสือหมอบมังกรขด
อีกด้านฮว่าหงเซียวอยู่ในชุดคลุมดำ นั่งสันโษเงียบๆ ดื่มอย่างสุขสำราญ เขามีผมยาวสีน้ำเงิน ผิวขาวกระจ่างราวกับหยก ใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและเย็นชา
“พวกข้าแค่เป็นห่วงเพียงว่าเจ้าหัวขโมยหลินสวินนั่นจะรับรู้ได้ถึงอันตราย ไม่กล้ามา”
“ฮ่าๆ เป็นเช่นนี้จริงๆ”
ทุกคนในตำหนักต่างหัวเราะขึ้นมา
มกุฎอริยะมากกว่าร้อยคน อริยะแท้แปดร้อยกว่าคนรวมตัวกันที่นี่ พลังระดับนี้ถึงขั้นสามารถคุกคามความปลอดภัยของค่ายทัพทุกดินแดน นับประสาอะไรกับหลินสวินคนเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีบุคคลพลิกฟ้าอย่างเซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียว ที่ถูกจัดอยู่ในแปดยอดนภาครามเป็นผู้ควบคุมบัญชา!
“ทุกท่าน หลินสวินคนนี้ดุดันอย่างที่สุด ฝีมือร้ายกาจ อย่าประมาทเกินไป”
เซวี่ยชิงอีพูดพร้อมเดินไปนอกตำหนัก “ทุกท่านตามข้ามา”
นอกตำหนักน้ำทะเลที่ดำปานรัตติกาลนิรันดร์พวยพุ่ง ที่อยู่ห่างไปผู้แข็งแกร่งค่ายทัพแปดดินแดนมากมายรวมตัวกันอยู่บนฝั่งทะเลอย่างหนาแน่น
เซวี่ยชิงอีสะบัดแขนเสื้อ แสงประกายยี่สิบสี่วงส่องแสงวาววับ มุกสมบัติสว่างไสวขนาดประมาณหมัดโฉบพุ่งออกจากน้ำทะเลแปดทิศ
มุกสมบัติทุกเม็ดล้วนประทับลายมรรคค่ายกลแน่นขนัด ไม่ทันไรก็เปลี่ยนเป็นกระบวนผนึกอริยมรรคยิ่งใหญ่ปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลออกมาส่องสว่างท้องฟ้า
“นี่คือมุกอริยะกำราบสมุทรยี่สิบสี่เม็ดหรือ”
สือพั่วไห่ประหลาดใจ
“ไม่ผิด มุกสมบัติชุดนี้รวมตัวกัน สามารถสร้างเป็น ‘กระบวนอริยะสยบฟ้ากำราบสมุทร’ อีกเดี๋ยวให้ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนของพวกเราเข้าไปชมการต่อสู้ในกระบวนค่ากลนี้ก็พอ จะได้ไม่โดนลูกหลงตอนต่อสู้ เสียโอกาสในการเข้าสู่แดนลับสนามแม่เหล็ก”
เซวี่ยชิงอียิ้มพูด
ทุกคนไม่มีใครไม่พนักหน้าเห็นด้วย
เซวี่ยชิงอียังมีอีกประโยคที่ไม่ได้พูดออกไป นั่นก็คือหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น มีกระบวนค่ายกลนี้ก็เท่ากับมี ‘ทางหนี’ เพิ่มมาอีกทาง
แน่นอนว่าคำพูดที่ ‘ทำลายความองอาจของตน ยกย่องผู้อื่น’ พรรค์นี้ไม่สามารถพูดได้ หากพูดออกไปกลับจะทำให้เขาเซวี่ยชิงอีดูขี้ขลาดและระมัดระวังเกินไป จะต้องทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะไม่น้อยแน่
ไม่นานภายใต้การเรียกรวมของเหล่ามกุฎอริยะ ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่กระจายอยู่บริเวณริมฝั่งทะเล ล้วนถูกจัดแจงเข้าไปในกระบวนอริยะสยบฟ้ากำราบสมุทร
ในที่นั้นเหลือมกุฎอริยะร้อยกว่าคน และสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอริยะแท้ทั้งหมด ทำให้บรรยากาศของฟ้าดินแถบนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นอันตรายและกดดันขึ้นมา
เซวี่ยชิงอีเห็นเช่นนี้ ความมั่นใจก็เพิ่มพูน ไร้ความกังวลอีกต่อไป
เขาหันกลับไปมองก็เห็นว่า ทางเข้าแดนลับสนามแม่เหล็กที่ถูกกระบวนค่ายกลใหญ่ปกคลุมไว้ข้างหลัง อีกไม่นานก็จะปรากฏอย่างเต็มที่
สือพั่วไห่กำลังพูดคุยกับคนข้างๆ สีหน้าใจเย็น หัวเราะพูดคุยเฮฮา
สีหน้าของฮว่าหงเซียวเย่อหยิ่งและเย็นชามาโดยตลอด ดื่มกินเพียงลำพัง แววตาเย็นยะเยือก ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“หลินสวินนั่นคงไม่ได้กลัวจนไม่กล้ามาจริงๆ กระมัง”
มกุฎอริยะคนหนึ่งขมวดคิ้ว เริ่มหมดความอดทนแล้ว
ตอนนี้เอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจระลอกหนึ่ง
“ดูทางนั้น!”
“เจ้าหมอนั่นถึงกับมาจริงๆ”
“กล้านัก!”
ภายใต้จิตรับรู้ของทุกคน ก็เห็นว่างห่างออกไปไกลๆ มีเงาร่างสองร่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้ามา ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ราวกับเล่นเดินอยู่ในสวน ย่างก้าวกลางอากาศ ชายหล่อเหลาละโลกีย์ราวกับเซียนจุติลงมา หญิงงดงามราวภาพวาด เสื้อผ้าพลิ้วไหว
เป็นเขาจริงๆ!
ชั่วขณะนั้นสายตาของพวกเซวี่ยชิงอีทั้งหมดต่างจับจ้องที่หลินสวินคนเดียว ส่วนจ้าวจิ่งเซวียนกลับถูกมองข้าม
เพราะในความเข้าใจของพวกเขา ทั้งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณมีเพียงหลินสวินคนเดียวที่ควรค่าให้ความสำคัญ
เพียงแต่พวกเซวี่ยชิงอีคิดไม่ถึงว่าหลินสวินมาคราวนี้ กลับพาคนมาเพียงคนเดียว และเห็นได้ชัดว่าไม่เกรงกลัวใดๆ
ริมฝั่งทะเลผาดำ หลินสวินหยุดเท้า พูดเสียงเบากับจ้าวจิ่งเซวียน “จิ่งเซวียน เจ้าดูการต่อสู้อยู่ตรงนี้”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า โรยตัวลงพื้น ดวงตาคู่งามกวาดมองในที่นั้นแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้มาเพื่อแดนลับสนามแม่เหล็ก แต่มาเพื่อฆ่าเจ้าคนเดียวถึงได้เคลื่อนกำลังพลยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากเจ้ายันไม่ไหวก็อย่าฝืนเด็ดขาด”
หลินสวินลูบจมูก ยิ้มเอ่ย “บุรุษกลัวถูกสตรีของตนดูถูกที่สุด เจ้ารอดูก็พอแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนเม้มปากยิ้ม “ได้!”
ตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันไม่ได้เห็นคนในที่นั้นอยู่ในสายตา ท่าทางผ่อนคลายเช่นนั้น ทำเอาสีหน้าของมกุฎอริยะจำนวนไม่น้อยมืดทะมึนลง
“สุนัขชายหญิงคู่หนึ่ง! จะตายอยู่แล้วยังกะหนุงกะหนิงกันอย่างไม่ละอาย มีชีวิตอยู่มาจนเบื่อแล้วใช่หรือไม่”
มีคนตะโกน เสียงสะเทือนฟ้าดิน
เหล่าผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่ซ่อนอยู่ในกระบวนค่ายกลใหญ่ผิดคาดมาก พวกเขาส่วนใหญ่เจอหลินสวินเป็นครั้งแรก จึงคิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะกำเริบเสิบสานและหยิ่งผยองกว่าที่เล่าลือ!
“หลินสวิน หากเจ้าจากไปตอนนี้ บางทียังมีโอกาสรอดชีวิต ไม่เช่นนี้ครั้งนี้เจ้ายากจะหนีเคราะห์พ้นแล้ว”
เซวี่ยชิงอีเอามือไพล่หลังพูดเนิบๆ
แม้จะพูดเช่นนนี้ เขากลับมั่นใจว่าหลินสวินไม่มีทางจากไป!
ตอนแรกสุดเพียงเพื่อพวกพ้องที่ไม่ได้มีความสำคัญ เจ้าหมอนี่ยังกล้าป่วนโลกมารโลหิตเพียงลำพัง แต่ครั้งนี้เกี่ยวข้องถึงวาสนาบรรลุมกุฎอริยะ เขาหลินสวินมีหรือจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้
ตามคาด ก็เห็นหลินสวินที่อยู่ที่อยู่ห่างไปหัวเราะเยาะเอ่ยว่า “นี่เป็นโลกรกร้างโบราณของข้า พวกเจ้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ ยังคิดจะหมายปองวาสนาของพวกเราดินแดนรกร้างโบราณ คิดว่าข้าหลินสวินไม่กล้าฆ่าคนจริงๆ หรือ”
ทุกครั้งที่เขาเอ่ยคำหนึ่งออกมา ก็เหมือนฟ้าร้องสะท้าน ฟ้าดินสะเทือน น้ำทะเลแปดทิศล้วนเดือดพล่านซัดคลื่นนับพัน
คลื่นเสียงที่ราวกับแก่นแท้นั่นถึงขั้นกระแทกใส่กระบวนค่ายกล กระตุ้นให้ลายมรรคกระบวนค่ายกลมากมายปรากฏ แสงมรรคไหลวนเจิดจ้าสว่างไสว เข้าต้านทานสลายคลื่นเสียง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่อยู่ในกระบวนค่ายกลต่างสูดหายใจด้วยความตกใจ สีหน้าเปลี่ยนในบัดดล
หลินสวินดุดันและแข็งแกร่งเหมือนในคำเล่าลือดังคาด!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท