แดนนิรมิตเทพ บทที่ 414
“นี่มันเป็นชาที่ไหนกัน สามารถเทียบได้กับยาวิเศษอย่างยาเสริมจิตแล้ว!”
“แค่น้ำชาธรรมดายังสามารถมีผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้ ท่านอาจารย์เป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าจริงๆ!” เฉินซงจื่อตกตะลึง
เฉินโม่มาถึงที่เหม่ยหวากรุ๊ป ก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว
หลี่ซู่เฟินและเวินฉิงเล่าเรื่องราวในหลายวันมานี้ให้กับเฉินโม่ฟังอย่างละเอียด เฉินโม่มั่นใจการคาดเดาของตัวเองมากยิ่งขึ้น เบื้องหลังตระกูลว่าน จะต้องมีคนจากโลกฝึกบู๊อยู่แน่นอน
แม้กระทั่งคนที่อยู่เบื้องหลังตระกูลว่านเป็นใคร เฉินโม่ก็คาดเดาได้แล้ว
แต่ว่าตอนนี้เป็นเพียงแค่การแข่งขันทางธุรกิจอยู่เท่านั้น เฉินโม่ไม่สามารถบุกไปทำอะไรได้ หากเช่นนั้นจะต้องทำให้ทางรัฐไม่พอใจอย่างแน่นอน ในตอนนี้คิดหาวิธีการคลี่คลายวิกฤตทางธุรกิจของเหม่ยหวากรุ๊ปก่อน
เพื่อให้รู้ความจริงอย่างชัดเจน เฉินโม่จึงไปดื่มน้ำซุปที่หอว่านเค่อไหลด้วยตัวเอง
เมื่อน้ำซุปเรียกความสดชื่นถ้วยนั้นดื่มเข้าปาก ในใจเฉินโม่แอบตกใจ “สิ่งนี้ รสชาติของเม็ดยา! ผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลว่านในครั้งนี้ เป็นนักกลั่นยา!”
รวมกับวิกฤตปัญหาแต่ละอย่างที่เหม่ยหวากรุ๊ปพบเจอ ก็คงมีเพียงแค่นักกลั่นยาเท่านั้นถึงจะสามารถมีฝีมือเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์บู๊ ก็ไม่สามารถกลั่นน้ำซุปสมุนไพรจีนบำรุงสุขภาพเช่นนี้ออกมาได้ แล้วยังมียาพิเศษพวกนั้นอีก รวมทั้งยาอายุวัฒนะที่ใช้ในโรงแรม
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าบนโลกนี้ยังมีนักกลั่นยาอาศัยอยู่ แต่ว่าดูจากผลลัพธ์ที่บรรจุอยู่ในน้ำซุปถ้วยนี้แล้ว ฝีมือของนักกลั่นยาคนนี้ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก”
“แต่สามารถกลั่นยาเช่นนี้ออกมาได้บนดาวไกอาที่ขาดแคลนทั้งพลังชี่ทิพย์และทรัพยากร ก็ถือว่ามีความสามารถมากแล้ว”
เฉินโม่วิเคราะห์ได้ถูกต้องอย่างมาก ตระกูลมู่เป็นตระกูลกลั่นยาในโลกฝึกบู๊ มู่เจิ้งเฟิงเป็นอัจฉริยะที่ไร้ชื่อเสียงของตระกูลกู่ พรสวรรค์ความสามารถสูงมากกว่ามู่จือเสว๋ผู้เป็นผู้นำตระกูลมู่ในตอนนี้ แต่เป็นคนที่ถ่อมตนมาก ไม่ชอบการโอ้อวด
มู่เจิ้งเฟิงแยกย้ายจากตระกูลตั้งแต่อายุสิบแปดปี แล้วออกไปเร่ร่อนตัวคนเดียว เดินท่องสถานที่อันตรายมานับไม่ถ้วน และเก็บรวบรวมสมุนไพรล้ำค่ามาได้ไม่น้อย
อาชีพอย่างนักกลั่นยา ไม่ค่อยเหมือนกับการฝึกบู๊เท่าไหร่นัก ฝึกบู๊ต้องการแค่มีวิชาดี มีความชำนาญ และขยันสักหน่อยก็พอแล้ว แต่นักกลั่นยาทำเช่นนี้ไม่ได้ นักกลั่นยาระดับสูง ล้วนเป็นการสะสมรวบรวมมาจากสมุนไพรมากมายนับไม่ถ้วน
มู่เจิ้งเฟิงที่อาศัยอยู่ในดาวไกอาที่ขาดแคลนทรัพยากรเช่นนี้ สามารถมีฝีมือระดับนี้ได้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
สิ่งนี้เองก็เป็นเหตุผลของความตื่นเต้นดีใจเมื่อหนานกงหลงได้ยินมู่จือเสว๋บอกว่าจะให้ยืมตัวมู่เจิ้งเฟิง
เฉินโม่กลับสู่เหม่ยหวากรุ๊ป บอกสิ่งที่ตัวเองรู้ให้กับหลี่ซู่เฟินและเวินฉิง ทั้งสองคนต่างก็ตะลึง!
“ไม่คิดเลยว่าบนโลกใบนี้ จะมียาวิเศษที่เล่าลืออยู่จริงๆ!”
นี่คือปฏิกิริยาตอบสนองแรกที่หลี่ซู่เฟินและเวินฉิงได้ยินเกี่ยวกับการมีตัวตนอยู่ของนักกลั่นยา
ยังดีที่เฉินโม่เคยแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพลังบำเพ็ญบู๊ต่อหน้าพวกเธอ จึงเพิ่มภูมิต้านทานต่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติของพวกเธอ ดังนั้นหลังจากที่พวกเธอได้ยินถึงการมีตัวตนอยู่ของนักกลั่นยา จึงไม่ได้ลืมตัวเสียสติมากนัก หลังจากที่ตกตะลึงเล็กน้อย ก็กลับสู่สภาวะปกติ
“เสี่ยวโม่ อีกฝ่ายมีนักกลั่นยาอยู่ด้วย แล้วพวกเราจะทำยังไงดีละ? นายสามารถต่อกรกับนักกลั่นยาคนนั้นได้มั้ย?” เวินฉิงพูดประเด็นหลักของปัญหาออกมา
หลี่ซู่เฟินเองก็มองเฉินโม่ด้วยสีหน้าคาดหวัง
เฉินโม่มองเวินฉิง ยิ้มเล็กน้อย แล้วแสดงออกถึงความมั่นใจ “พี่เวินฉิง พี่ยังจำคำพูดที่ผมเคยพูดได้มั้ย? บนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถทำร้ายผมได้ และยิ่งไม่มีใครสามารถเอาชนะผมได้!”
เมื่อก่อนทุกครั้งที่เฉินโม่พูดคำพูดแบบนี้ออกมา หลี่ซู่เฟินมักจะเป็นคนแรกที่เถียงคัดค้านเสมอ แต่ครั้งนี้ หลี่ซู่เฟินกลับเงียบงัน
ส่วนเวินฉิงก็ยิ่งมีความเชื่อใจมากมายทุกอย่างต่อเฉินโม่ นี่เองก็เป็นเหตุผลที่ตั้งแต่เหม่ยหวากรุ๊ปเคยพบเจอวิกฤตมา แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดเตือนหลี่ซู่เฟินให้แจ้งเรื่องราวกับเฉินโม่
“ลูกคิดจะทำยังไง?” หลี่ซู่เฟินสีหน้าเคร่งเครียด การแข่งขันทางธุรกิจไม่ใช่การฆ่ารันฟันแทง เธอยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเฉินโม่
เฉินโม่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน “อย่าใจร้อนครับ ไม่นานแม่ก็จะรู้เองครับ”