แดนนิรมิตเทพ บทที่ 479
มู่หรงเค่อหยิบปืนขึ้นเงียบๆ แล้วเล็งไปที่มู่หรงยานเอ๋อร์ หากเหรินเทียนหยู่ลงมือ เขาก็จะฆ่ามู่หรงยานเอ๋อร์ก่อน จากนั้นค่อยฆ่าตัวตาย
แม้ต้องตาย เขาก็ไม่มีทางให้ชื่อเสียงของตระกูลมู่หรงเสียหาย
ในเวลานี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียบๆ “รอเดี๋ยว!”
เหรินเทียนหยู่ขมวดคิ้ว มองไปทิศทางที่เสียงดังขึ้นอย่างโมโห
มู่หรงยานเอ๋อร์เห็นว่าในที่สุดเฉินโม่ก็ออกมาช่วย ดีใจจนเอามือปิดปากร้องไห้ออกมา เดิมทีเธอคิดว่าเฉินโม่ปล่อยเธอทิ้งแล้ว แต่ดูแล้วคงไม่ใช่
พวกผู้มีชื่อเสียงของเขตเจียงหนานเองก็หันไปมองยังทิศทางที่เสียงดังมาอย่างสงสัย พลังร้ายกาจของเหรินเทียนหยู่เพิ่มมากขึ้น ใครมันกล้าออกมาขัดขวางเขาในเวลานี้?
เฉินโม่ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วค่อยๆเดินไปยังโต๊ะหนึ่งที่วางจานผลไม้และขนมไว้ จากนั้นก็นั่งลง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นอย่างเชื่องช้า คีบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปาก แล้วค่อยๆเคี้ยว
เฉินโม่มองไปทางมู่หรงเค่อ บนใบหน้าแสดงรอยยิ้มหยอกล้อขึ้น “คุณมู่หรง ถ้าหากคุณยินดียอมจ่ายให้ผมหนึ่งร้อยล้าน ผมจะช่วยคุณจัดการเขา!”
ถ้าหากไม่ได้เห็นแก่มู่หรงยานเอ๋อร์ เฉินโม่ก็ไม่สนใจความเป็นความตายของตระกูลมู่หรง อีกอย่างก่อนหน้านี้มู่หรงเค่อเอาแต่ดูถูกเขามาเสมอ แม้ว่าเฉินโม่จะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจก็รู้สึกไม่ดีอย่างมาก
เป็นถึงผู้บำเพ็ญแดนดั่งเทพ จะทนยอมให้มนุษย์ธรรมดามาดูถูกได้ยังไงกัน!
ที่เฉินโม่รอนานขนาดนี้แล้วค่อยแสดงตัวออกมาช่วย เพราะต้องการให้บทเรียนกับมู่หรงเค่อ ยังไงซะมู่หรงยานเอ๋อร์ก็มีหยกแขวนอยู่กับตัว เหรินเทียนหยู่ไม่สามารถทำร้ายเธอได้
ส่วนที่เรียกค่าตอบแทนจากมู่หรงเค่อหนึ่งร้อยล้าน เพียงเพราะอยากให้บุญคุณความแค้นกับตระกูลมู่หรงจบสิ้น สุภาพบุรุษใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ถือเป็นการแก้แค้นทางหนึ่ง
“เจ้าคนนี้นี่เอง!”
“เขาบ้าไปแล้วงั้นหรอ? เสนอหน้าออกมาเวลานี้ หาเรื่องตายหรือไง!”
“อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยล้านเลย แม้จะให้เขาพันล้าน ก็คงไร้ประโยชน์ถ้าไม่มีชีวิตได้ใช้!”
พวกผู้มีชื่อเสียงในเขตเจียงหนานต่างก็เยาะเย้ย ไม่เข้าใจว่าเฉินโม่เป็นบ้าอะไร
ส่วนพวกลูกคนรวยของเขตเจียงหนานพวกนั้น ต่างก็มีสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“เจ้าคนนี้คิดถึงแต่เงินจนบ้าไปแล้วหรือไง? เหรินเทียนหยู่คนนั้นเอาชนะยอดฝีมือสองคนทั้งคุณชิวและลุงสุ่ย แล้วมันมีความสามารถอะไรมาพูดจาอวดดีแถวนี้!”
“ฉันว่ามันไม่ได้ทำเพราะเงิน แต่เพราะอยากเอาหน้าต่อหน้ามู่หรงยานเอ๋อร์มากกว่า เจ้าคนนี้มันคนคลั่งรักจริงๆ!”
“น่าขันสิ้นดี ไม่ว่ามันจะทำเพราะเงินหรือหญิงสาว แต่ถ้าไม่เอาแม้กระทั่งชีวิต ถึงแม้ตระกูลมู่หรงจะเอาทรัพย์สินทั้งหมดและมู่หรงยานเอ๋อร์ให้กับเขา แล้วมีประโยชน์อะไร?”
หยู่เหวินฟางเฟยยิ้มเยาะ “ไอ้สารเลวคนนี้เสนอหน้าออกมาในวินาทีสำคัญเช่นนี้ ดีจริงๆเลย คราวนี้มันได้ตายแน่!”
หยู่เหวินเฉิงเองก็ยิ้มร้ายกาจ สายตาที่มองไปยังเฉินโม่เต็มไปด้วยความดูถูก “ไอ้หนุ่ม แกคิดว่าสามารถเอาชนะฉันได้ แล้วจะสามารถอวดดีต่อหน้าเหรินเทียนหยู่ได้งั้นหรอ? แม้แต่ลุงสุ่ยยังต้านทานเขาได้แค่สี่กระบวนท่าเท่านั้น อย่างแกมันทำได้แค่เอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้นแหละ!”
แววตาของหยูเจียหาวมีความสะใจ “ไอ้ขยะเฉินโม่ ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ครั้งนี้ฉันจะคอยดูว่าใครมันจะมาช่วยแกอีก!”
ใบหน้าของหยางเชี่ยนเชี่ยนมีความตกใจ พูดเสียงเบาว่า “เข่อเยว่ เฉินโม่จะลงมือแล้ว เธอว่ามันจะสามารถช่วยยานเอ๋อร์ไว้ได้มั้ย?”
อานเข่อเยว่เหลือบมองเฉินโม่ ไม่ได้ตอบกลับหยางเชี่ยนเชี่ยน แต่ทำแค่ขมวดคิ้วขึ้น “เฉินโม่ อยู่ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นายยังกล้าที่จะอวดดีอย่างนั้นอีก ปัญหาที่ฟ้าส่งมายังหนีได้ แต่ปัญหาที่หาเรื่องเองหนีไม่รอดหรอกนะ!”
เจิ้งหยวนฮ่าวมองเฉินโม่เองก็ส่ายหัวเล็กน้อย แววตามีความดูถูก “คนเราเจอปัญหาต้องหนีให้พ้น เฉินโม่ ดูแล้วเมื่อก่อนฉันคงจะมองนายสูงเกินไปสินะ!”
มู่หรงเค่อสีหน้าอึ้งตะลึง เหมือนว่าไม่กล้าเชื่อคำพูดที่ตัวเองได้ยิน แต่ตระกูลมู่หรงอยู่ในช่วงวิกฤติ พวกผู้มีอำนาจชื่อเสียงที่ในเวลาปกติเอาแต่เคารพนอบน้อมต่อหน้าตระกูลมู่หรง ตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเหลือ สุดท้ายกลับเป็นเฉินโม่ชายหนุ่มที่เขาเอาแต่ดูถูกมาโดยตลอดกล้าออกมาช่วยเหลือ!
มู่หรงเค่อรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย