Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – Ramen Daisuki Koizumi-san

Ramen Daisuki Koizumi-san
เดือนที่สี่
ในคฤหาสน์อันมืดมิดคลอด้วยเสียงกระบี่ชิ้งๆๆ ระลอกหนึ่ง ก็เห็นกระแสปราณกระบี่ชั้นแล้วชั้นเล่าไหลบ่าออกมากลางห้วงอากาศ
มีทั้งสิ้นสามสิบสามชั้น กระแสปราณกระบี่แต่ละชั้นต่างบรรจุปราณกระบี่ไท่เสวียนหนึ่งหมื่นแปดพันสายไว้ภายใน
กระแสปราณกระบี่สามสิบสามชั้นพากันแผ่ออกกลางอากาศ อัดแน่นไปทั้งคฤหาสน์ ปราณกระบี่เจิดจ้าหนาแน่นขึ้นลงเหมือนกระแสธาร งดงาม ยิ่งใหญ่ น่าหวาดหวั่น
กระบี่สามสิบสามชั้น!
นี่เป็นขีดจำกัดปราณกระบี่ที่หลินสวินบ่มเพาะออกมาได้ในจุดชีพจรทั้งหมดภายในร่างกาย หลังจากบรรลุระดับอริยะแท้ขั้นกลาง
เทียบกับหนึ่งแสนแปดพันกระบี่แล้ว กระบี่สามสิบสามชั้นไม่เพียงมีปราณกระบี่ที่บรรจุไว้มหาศาลยิ่งกว่า อานุภาพยังต่างออกไปโดยสิ้นเชิงด้วย
กระบี่สามสิบสามชั้นเหมือนคลื่นยักษ์กระทบฟ้าสามสิบสามชั้น แต่ละชั้นที่สาดซัดเข้าไป อานุภาพก็จะยิ่งเพิ่มพูนทบทวีตามไปด้วย พลังทำลายล้างน่ากลัวหาใดเทียบ
อีกทั้งปราณกระบี่ที่บ่มเพาะอยู่ในจุดชีพจรภายในร่างหลินสวินเหล่านี้ล้วนเปลี่ยนเป็นประกายกระบี่ รวมเป็นเจตกระบี่ออกมา!
ลองคิดดู กระบี่ชั้นเดียวรวมเจตกระบี่หนึ่งหมื่นแปดพันสาย ความแกร่งกล้าของเจตกระบี่ที่มีสามสิบสามชั้นจะแข็งแกร่งปานไหน
เรื่องที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนเป็นมรดกมรรคจักรพรรดิวิชาหนึ่ง ด้วยพลังตอนนี้ของหลินสวินไม่อาจเข้าใจนัยเร้นรับของคัมภีร์ได้ทั้งหมด
นี่ก็หมายความว่าตอนหลินสวินรังสรรค์วิชาของตัวเอง ทำได้เพียงดึงเอาเจตจำนงแห่งไท่เสวียนแปลงมาใช้ แต่ไม่สามารถหลอมนัยเร้นลับทั้งหมดเข้าสู่วิชาของตัวเองโดยสมบูรณ์
ต่อให้เป็นเช่นนี้ หากว่ากันด้วยพลังสังหารเพียงอย่างเดียว อานุภาพของกระบี่สามสิบสามชั้นก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่อาจเทียบกับหนึ่งแสนแปดพันกระบี่ได้
ซ่า!
เมื่อความคิดหลินสวินไหวเคลื่อน มหาสมุทรปราณกระบี่ที่อัดแน่นในคฤหาสน์นี้ก็กลับเข้ามาภายในร่างหลินสวิน เหมือนหมื่นกระแสคืนสู่ต้นกำเนิด ถูกบ่มเพาะไว้ในจุดชีพจรทั้งหมด
ถึงตอนนี้ในเวลาสี่เดือน หลินสวินนำกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรหลอมไว้ในเตาหลอมเดียว แปรยากเป็นง่าย บรรจุไว้ในหนึ่งเดียวตามลำดับ
ระดับของคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนก็ถูกอนุมานถึงขั้น ‘กระบี่สามสิบสามชั้น’!
แม้แต่พลังปราณยังเสถียรขึ้นอีกขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมั่นคงหาใดเทียบ
‘มีมรดกอย่างไปไร้หวนกับดรรชนีมหาอุดมสลายมายา ที่ข้าในตอนนี้ยังควบคุมไม่ได้โดยสมบูรณ์เหมือนกับคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน หากต้องการสรรสร้างวิชาของตนเอง ทำได้เพียงอาศัยเจตจำนง แต่ทิ้งรูปร่างของมัน…’
ในช่วงเวลาต่อมา หลินสวินไม่ศึกษาเจาะลึกวิชายุทธ์อีก แต่เริ่มจัดระเบียบตัวเอง หลอมชำระนัยเร้นลับมหามรรคที่ครอบครอง
การเสาะแสวงระดับอริยะ พลังปราณเป็นพื้นฐาน ส่วนพลังมหามรรคเป็นแก่นกลางของการเสาะแสวง ยิ่งกฎเกณฑ์อริยมรรคที่หยั่งถึงและควบรวมยิ่งแกร่งกล้า ก็หมายถึงความสำเร็จในการควบคุมพลังมหามรรคของอริยะ!
ส่วนความแข็งแกร่งในวิชายุทธ์ก็สะท้อนอยู่บนความแข็งแกร่งของพลังปราณและพลังมหามรรค
ทั้งหมดนี้ประกอบกันถึงเป็นตัวแทนของพลังต่อสู้ที่แท้จริงของระดับอริยะ
แน่นอนว่ายามต่อสู้เข่นฆ่า สภาวะจิต เจตจำนง รวมถึงสมบัติที่ครอบครองก็มีประโยชน์เหลือคณานับ
แต่ไม่ว่าอย่างไร แก่นกลางก็คือพลังปราณและมหามรรคตลอดกาล!
…..
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่สมรภูมิเซียนเหินจะมาถึงยิ่งใกล้เข้ามา บรรยากาศทั้งสมรภูมิเก้าดินแดนก็ยิ่งเงียบสงบและเคร่งเครียดตามไปด้วย
พายุฝนกำลังจะมา!
โลกขุมอุดร
ในตำหนักอันโอ่อ่าหลังหนึ่งบนทะเลลมกรด
บุคคลระดับผู้นำเจ็ดคนอย่างคุนเซ่าอวี่ ชืออู๋ซู่ จู๋อิ้งคง เลี่ยเฉียน เซวี่ยชิงอี สือพั่วไห่ ฮว่าหงเซียวมารวมตัวกัน
คราวนี้พวกเขาแต่ละคนนำมกุฎอริยะแปดคนมาด้วย แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกร้ายกาจสะเทือนใต้หล้า ครอบครองป้ายคำสั่งเซียนเหิน
นอกจากนี้ค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัวยังมีมกุฎอริยะมาแปดคน นำทัพโดยอริยะกระบี่แห่งยุคคนหนึ่งนามว่า ‘เนี่ยอู๋เหิน’
กิตติศัพท์ในดินแดนโบราณต้าหลัวของคนผู้นี้ก็เป็นรองเจี้ยนชิงเฉินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเจี้ยนชิงเฉินถูกฆ่า เนี่ยอู้เหินก็กลายเป็นผู้นำอย่างไร้ข้อกังขา
ต่อให้ฉินเซียวเซิงผู้อาวุโสหอกระบี่ฟ้าไม่ยินยอม ก็ต้องส่งมอบอำนาจในมือออกไป ให้เนี่ยอู๋เหินมากำกับควบคุมค่ายทัพดินแดนโบราณต้าหลัว
“ทุกท่าน อีกห้าวันสมรภูมิเซียนเหินก็จะมาเยือน คราวนี้ผู้ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินทุกคนจะถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปภายใน”
ในโถงใหญ่สายตาของคุณเซ่าอวี่กวาดมองทุกคนในโถง ความอาจหาญบังเกิดขึ้นในใจ “คราวนี้มีทุกท่านมาร่วมกันลงมือ การฆ่าหลินสวินนั่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก!”
เมื่อมองดูผู้แข็งแกร่งที่รวมตัวอยู่ในห้องโถงนี้ ผู้ใดไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลในบรรดามกุฎอริยะ ผู้ใดไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่มาจากดินแดนต่างๆ บ้าง
ด้วยการรวมตัวของกำลังพลชั้นนี้ เขาหลินสวินต้องถูกบดขยี้แน่!
“พี่คุน หลินสวินนั่นไม่ได้ธรรมดานะ ในเมื่อพวกเราเลือกร่วมมือกัน ก็ควรร่วมใจรวมพลังลงมือเต็มกำลัง จะดูถูกหรือประมาทหลินสวินนั่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
เซวี่ยชิงอีเอ่ยปากเย็นชา
พบเห็นได้ยากนัก คราวนี้ไม่มีใครหัวเราะเยาะและดูแคลนว่าเซวี่ยชิงอีใจเสาะ ต่างพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เพราะไม่ว่าจะเป็นการทำลายล้างกองทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน หรือความพ่ายแพ้ย่อยยับในศึกทะเลผาดำ ต่างพิสูจน์คำพูดของเซวี่ยชิงอีแล้ว
หลินสวินคนนี้ แข็งแกร่งจริง!
“พี่เซวี่ย เจ้าเคยประมือกับหลินสวิน ทั้งยังเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก ไม่สู้เจ้ามาอธิบายให้สหายยุทธ์ทุกท่านทีละเรื่องเป็นอย่างไร”
คุนเซ่าอวี่เอ่ยเสียงนุ่มนวล
ทุกคนต่างทอดสายตามองไปที่เซวี่ยชิงอี นี่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นไม่น้อยในทันใด
“ทุกท่านต่างรู้ดี แม้หมอนี่แข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้ไร้ศัตรูเทียบเทียมอย่างแท้จริง ไพ่ตายที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือ เชี่ยวชาญการวางกระบวนค่ายกล”
“การฆ่าล้างกองทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดน รวมถึงศึกทะเลผาดำคราวก่อน หมอนี่ใช้พลังกระบวนค่ายกลทำให้กองทัพของพวกเราบาดเจ็บล้มตายอย่างอนาถ”
เซวี่ยชิงอีพูดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างลอบพยักหน้า พวกเขาก็ได้รู้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มาแล้ว
“พี่เซวี่ยวางใจได้ คราวนี้มีข้าจู๋อิ้งคงอยู่ หากเขายังกล้าใช้ลูกไม้เดิมอีก ข้าจะเล่นงานเขาให้หนักแน่!”
จู๋อิ้งคงแววตาวาววาบ เสียงเจือไปด้วยความเชื่อมั่นเด็ดขาด
ทุกคนต่างตาเปล่งประกาย
เผ่าจู๋หลง สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือพลังลายมรรค มีจู๋อิ้งคงอยู่ ย่อมไม่ต้องหวาดกลัวพลังกระบวนค่ายกลของหลินสวินเกินไปนัก
“นอกจากนี้พลังต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ยังน่ากลัวถึงที่สุด เขาฝึกฝนทั้งมรรคาหลอมจิต หลอมปราณและหลอมกายพร้อมกัน ทั้งยังมีพลังต่อสู้ระดับมกุฎอริยะทั้งหมด…”
พอเซวี่ยชิงอีพูดถึงตรงนี้ หลายคนก็ดวงตาหดรัดอย่างห้ามไม่อยู่ หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
มกุฎมรรคาทั้งสามล้วนถึงระดับอริยะหรือ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งในแปดดินแดน สามารถสะเทือนอดีตปัจจุบัน ถูกมองเสมือนปีศาจแห่งยุค!
“เรื่องนี้สหายยุทธ์สือพั่วไห่กับฮว่าหงเซียวต่างรู้ดี ตอนนั้นพวกเราสามคนร่วมมือกัน ที่ถูกตีพ่าย สาเหตุสำคัญข้อหนึ่งก็เป็นเพราะเรื่องนี้”
เซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำว่า “นอกจากนี้ในมือหมอนี่ยังมีสมบัติอัศจรรย์น่าเหลือเชื่อถึงที่สุด เช่นกระบี่ยอดสังหาร คิดว่าทุกท่านคงเคยได้ยินว่าสมัยการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่หนึ่ง เจ้าของกระบี่นี้บ้าระห่ำและดุดันปานไหน”
กระบี่ยอดสังหาร!
ในห้องโถงระส่ำระสายขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
กระบี่นี้เป็นของจักรพรรดิกระบี่ธารนรก เคยสำแดงความโดดเด่นยิ่งใหญ่ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่หนึ่ง เข่นฆ่าจนผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนไม่น้อยพอได้ยินชื่อก็ใจฝ่อ ใครจะไม่รู้จักได้
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น้อย
“ถ้าพวกเราร่วมมือกันจะสามารถกดข่มมันได้ ส่วนกระบี่ยอดสังหารนี้ เชื่อว่าในมือของทุกท่าน ณ ที่นี้ก็ไม่ขาดสมบัติที่สู้กับมันได้”
ชืออู๋ซู่เอ่ยเสียงทรงพลังดังกึกก้อง
“หึ! มีเพียงกระบี่นี้ก็ช่างเถอะ แต่ความจริงแล้ว ในมือหลินสวินนั่นไม่ได้ขาดสมบัติ ทั้งยังไม่มีชิ้นไหนไม่แข็งแกร่งอย่างยิ่งด้วย!”
เซวี่ยชิงอีหัวเราะหยัน “ข้าไม่ได้จะช่วยเพิ่มบารมีให้เขาเลยบั่นทอนอานุภาพตัวเองลง แต่เป็นเพราะต้องการบอกทุกท่านว่า ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่อาจดูเบาหลินสวินคนนี้ได้”
“ที่พี่เซวี่ยพูดก็คือ คราวนี้พวกเราต้องเตรียมกลวิธีให้พร้อมสรรพ ครั้งเดียวต้องสำเร็จ สังหารเจ้านั่นในสมรภูมิเซียนเหินในคราวเดียว”
คุนเซ่าอวี่พยักหน้า เห็นด้วยกับความเห็นของเซวี่ยชิงอี “ต่อไปไม่ทราบว่าพี่เซวี่ยมีข้อเสนอแนะอื่นหรือไม่”
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเซวี่ยชิงอีจึงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้าขอเตือนให้ทุกท่านคิดถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ หลังจากสมรภูมิเซียนเหินมาเยือน ก็ขอให้ทุกท่านส่งกำลังพลทั้งหมดจากแต่ละค่ายไปจู่โจมค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ!”
“ขอเพียงพิชิตค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้ ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราฆ่าหลินสวินนั่นในสมรภูมิเซียนเหินไม่ได้ ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณก็ไร้วิธีพลิกฟ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีก!”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา ทุกคนในที่นั้นสีหน้าแตกต่างกันไป บรรยากาศในโถงใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น้อย
ลงมือเต็มกำลัง!
นี่ไม่ต่างอะไรกับเปิดศึกรอบด้าน เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องรอบคอบ
ครู่สั้นๆ คุนเซ่าอวี่พูดก่อนเป็นคนแรก “ได้! ข้าขอเป็นตัวแทนดินแดนโบราณขุมอุดรตอบรับเรื่องนี้ ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร”
“ช่างเถอะ ขอเพียงทำเป้าหมาย ‘ตัดรกร้างโบราณ’ ให้เป็นจริงได้ก่อน ข้าไม่มีความเห็นอื่น”
ชืออู๋ซู่เอ่ยปากเป็นคนที่สอง
พวกเลี่ยเฉียน จู๋อิ้งคง สือพั่วไห่ก็พยักหน้าตอบรับตามมาติดๆ อย่างต่อเนื่อง
เห็นเช่นนี้เซวี่ยชิงอีจึงถอนหายใจโล่งอก ที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นตอนทุกคนร่วมมือกัน จะระแวดระวังกันเอง ไม่ต้องการลงมือเต็มที่
แต่เห็นได้ชัดว่าความกังวลเช่นนี้ไม่จำเป็นแล้ว พวกคุนเซ่าอวี่ต่างก็รับรู้ได้อย่างลึกซึ้งถึงภัยคุกคามที่หลินสวินชักนำมา
เท่านี้ก็พอแล้ว!
ในสมรภูมิเซียนเหินมีพวกเขาร่วมกันลงมือ ส่วนในสมรภูมิเก้าดินแดนมีกองทัพแปดดินแดนร่วมกันออกโจมตี
ด้วยการทำสองสิ่งพร้อมกันเช่นนี้ ไม่ว่าจะสังหารหลินสวิน หรือพิชิตค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ ขอเพียงบรรลุเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาแปดดินแดนก็จะยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ชนะ!
ในขณะเดียวกัน ในเมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณ
หลินสวินกำลังสนทนากับพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน
“หลังข้าจากไปขอให้ทุกคนเฝ้าระวังเมืองให้มั่น อย่าออกไปข้างนอกโดยไม่จำเป็น มีค่ายกลสี่ยอดแปดพิทักษ์อยู่ ด้วยพลังของทุกท่าน ทันทีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันก็สามารถตอบโต้ได้ทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนถือโอกาสเข้ามา”
นี่ก็คือการตัดสินใจของหลินสวิน
ทุกคนต่างรับปากอย่างยินดี ใครก็รู้ว่าขอเพียงสมรภูมิเซียนเหินปรากฏขึ้น การต่อสู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแพ้ชนะในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะต้องเปิดฉากขึ้นที่นี่!
ห้าวันผ่านไป
ท้องฟ้ากระจ่างใส บนกำแพงเมือง หลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียนยืนเคียงกัน
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา”
จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยเสียงเบา เนตรงามจับจ้องหลินสวิน ประโยคเดียวกลับเจือความอ่อนหวานและความกังวลไร้สิ้นสุด
หลินสวินจับมืองามของนางแน่น สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “รอข้ากลับมา เจ้าจะมอบเรื่องประหลาดใจให้ข้าไหม”
จ้าวจิ่งเซวียนชะงักไป ฉับพลันคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง หน้าพลันแดงขึ้นทันที ค้อนตาดุใส่หลินสวินแล้วพูดว่า “รอเจ้ากลับมาค่อยว่ากัน!”
“ได้!”
หลินสวินเอ่ยอย่างดีใจ
ก็ในตอนนี้เอง เหนือเวิ้งฟ้าเส้นสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นประหนึ่งแสงตัดแหวกท้องฟ้า สะท้อนโลกา
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท