แดนนิรมิตเทพ บทที่ 651
เฉินโม่โบกมืออีกครั้ง
ปัง!
ร่างกายของเว่ยอวี้เฉิงถูกพลังมหาศาลพัดกระเด็นออกไปอีกครั้ง
คราวนี้ สีหน้าของคนที่อยู่รอบ ๆ หลายคนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน!
“ปล่อยชี่แท้ ปรมาจารย์แดนแปรภาพ!”
และฟันของเว่ยอวี้เฉิงหักไปสามซี่ แต่คราวนี้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้เพียงแค่มองเฉินโม่ด้วยความหวาดกลัว และบ่นพึมพำว่า “ปรมาจารย์! เป็นไปได้ยังไง? แกคือเฉินไต้ซือจริงๆ เหรอ?”
เฉินโม่เอามือไพล่หลัง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ครั้งต่อไปถ้าฉันลงมืออีก สิ่งที่ตกลงบนพื้นจะเป็นศีรษะของแก ไสหัวออกไป!”
สีหน้าของเว่ยอวี้เฉิงเต็มไปด้วยความอับอาย ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นยืน และเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
“เฉินไต้ซือ ความแค้นนี้ ฉันจะต้องล้างแค้นคืนอย่างแน่นอน!”
หลังจากเห็นชายหนุ่มพวกนั้นพาเว่ยอวี้เฉิงเดินจากไป เซวียมู่หัวกล่าวด้วยความกังวลว่า “เฉินไต้ซือ บุคคลนี้เป็นคนใจคอคับแคบ คุณต้องระวังว่าเขาจะมาแก้แค้นคืน!”
“ไม่เป็นไร” เฉินโม่ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาไม่ได้กลัวแม้แต่ตระกูลพานเสียด้วยซ้ำ แล้วเขาจะกลัวตระกูลเว่ยที่ด้อยกว่าตระกูลพานได้อย่างไร?
“พวกคุณเป็นลูกหลานของเซวียเชียนเหอเหรอ” เฉินโม่ถาม
สองพี่น้องตระกูลเซวียพยักหน้าพร้อมกัน และตอบด้วยนอบน้อม “ใช่”
เฉินโม่รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขามีบุญคุณกับเซวียเชียนเหอมากนัก แต่สองพี่น้องตระกูลเซวียพยายามปกป้องเขาจนล่วงเกินตระกูลบู๊ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
เซวียมู่หัวมีความสามารถในการสังเกตคำพูด เมื่อเขาเห็นเฉินโม่เงียบ เขากล่าวเสริมทันทีว่า “มีบางอย่างที่เฉินไต้ซือไม่รู้ เมื่อหลายวันก่อน คุณปู่ของผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าคุณปู่เป็นมะเร็งตับมาเกือบครึ่งปีแล้ว แต่หมอบอกว่าตอนนี้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งได้แล้ว และไม่นานก็จะหายเป็นปกติ”
เซวียจื่ออีกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถพูดแทรกได้ ดังนั้นเธอจึงรีบกล่าวว่า “คุณปู่บอกว่าต้องเป็นยาวิเศษที่เฉินไต้ซือมอบให้ มันสามารถรักษามะเร็งตับของคุณปู่ได้ ดังนั้นคุณจึงเป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเซวีย!”
เฉินโม่พยักหน้า ยาเสริมจิตมีประสิทธิภาพในการรักษาเซลล์มะเร็งจริง ๆ แต่ใช้ได้เฉพาะกับมะเร็งระยะแรกเท่านั้น ถ้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ที่เซลล์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก็จะไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องใช้ยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้เท่านั้น
“ถ้าพวกคุณมาที่นี่เพื่อมาดูความคึกคัก ก็กลับไปเถอะ” เพราะพวกเขาสองคนเป็นลูกหลานของคนที่เฉินโม่รู้จัก ดังนั้นเฉินโม่กังวลว่าหลังจากตนเองไปแล้ว ตระกูลเว่ยจะแก้แค้นพวกเขาสองคน
“ครับ!” เซวียมู่หัวเป็นคนที่รู้จักพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเฉินโม่จะไม่พูด เขาก็จะไปจากที่นี่เช่นกัน
แต่ดวงตาโตของเซวียจื่ออีเต็มไปด้วยความอาลัย ในที่สุดเธอก็ได้เห็นหน้าเฉินไต้ซือที่เป็นตำนานเล่าขาน แถมเขายังหนุ่มอีก ทำให้หัวใจของหญิงสาวเริ่มหวั่นไหว
“จื่ออี พวกเรากลับกันเถอะ!” เซวียมู่หัวมองน้องสาวและขมวดคิ้วเล็กน้อย การแสดงออกบนใบหน้าของน้องสาว ทรยศความในใจของเธอออกมาโดยตรง
ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเซวียแห่งหนานหลิงแล้ว ถ้าน้องสาวชอบผู้ชายคนอื่น เซวียมู่หัวจะต้องไปตรวจสอบประวัติ แม้กระทั่งวางมาดและทดสอบ
เพียงแต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว เซวียมู่หัวทำได้เพียงรู้สึกเสียใจแทนน้องสาว เพราะตระกูลเซวียของพวกเขาไม่สามารถอาจเอื้อมได้
ด้วยสายตาของเซวียมู่หัวแล้ว เขาสามารถมองออกว่าด้วยทัศนคติที่ไม่แยแสของเฉินโม่ต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เห็นได้ชัดว่าวิสัยทัศน์ของเฉินโม่เหนือกว่าคนธรรมดานานแล้ว
หลังจากแยกกับสองพี่น้องตระกูลเซวียแล้ว เฉินโม่ก็เดินออกไปข้างนอกคนเดียว แล้วข่าวที่เฉินไต้ซือมาร่วมการประชุมบู๊แห่งเจียงหนาน ก็แพร่กระจายออกไปราวกับสายลม
วิลล่าริมทะเลสาบ ซึ่งเป็นที่ดินที่ตระกูลพานซื้อมา แล้วสร้างวิลล่าอยู่ในพื้นที่หนึ่งพันตารางเมตร
การประชุมบู๊จัดขึ้นที่นี่เป็นเวลาหลายปีติดต่อกันแล้ว และปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
มีชายชราเจ็ดแปดคนที่ทรงพลังนั่งอยู่ในห้องลับห้องหนึ่ง พานรุ่ยหมิงที่ถูกเฉินโม่ไล่ออกมาจากหน่วยรบพิเศษเทพอินทรี นั่งอยู่ตำแหน่งแรก