Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1604 เสียงกัมปนาทเป็นสัญญาณ

ตอนที่ 1604 เสียงกัมปนาทเป็นสัญญาณ
ชิ้ง!
ยามกระบวนค่ายกลปริแตกออกจากกัน เสียงใสเร้าระทึกของกระบี่ดังก้องขึ้น
เงาร่างผึ่งผายของเซ่าเฮ่าพุ่งตัวจากกำแพงเมืองก้าวไปบนอากาศ ทั่วร่างแผ่อานุภาพร้ายกาจ ผมยาวแผ่สยาย
“ทะยาน!”
เมื่อเสียงตวาดดังขึ้น กระบี่เทพพุ่งทะยานหมุนวนเป็นวงกลมทันใด ห้วงอากาศพันจั้งมีม่านกระบี่เกลี้ยงกลมสายหนึ่งปรากฏ แสงม่วงอบอวล กฎเกณฑ์ร้อยถักเข้าด้วยกัน
ตูม!
การโจมตีมากมายที่ทะลักเข้ามาล้วนถูกม่านกระบี่สีม่วงขวางกั้น ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ไม่อาจสั่นคลอน
“ฟัน!”
เซ่าเฮ่าตวาดลั่น ปราณกระบี่สีม่วงสายหนึ่งตัดผ่านอากาศ โลดแล่นไปสามพันจั้ง อานุภาพเหมือนตรวนเหล็กเกราะกำบังพุ่งพิฆาตออกไป
ห่างออกไปศัตรูต่างดินแดนกลุ่มหนึ่งที่บุกเข้ามาด้วยสีหน้าฮึกเหิม ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ร่างระเบิดดังสนั่น ถูกปราณกระบี่สีม่วงจ้าตานั้นแหวกเปิดเป็นทางโลหิตยาวเส้นหนึ่งอย่างแข็งกร้าว!
หนึ่งการโจมตี สังหารร้อยศัตรู!
พวกจ้าวจิ่งเซวียน รั่วอู่เห็นดังนี้ก็อดตะลึงไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องสงสัย ในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณนี้นอกจากหลินสวินแล้ว พลังต่อสู้ที่เซ่าเฮ่ามีนั้นจัดได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด!
เพียงแต่ศัตรูนอกเมืองมีมากเกินไป แน่นขนัดเหมือนกระแสน้ำหลากปกคลุมฟ้าดิน สูญเสียไปหลักร้อยก็เหมือนปาหินกระดอนน้ำ สร้างคลื่นกระทบอะไรไม่ได้
ตรงกันข้ามเมื่อเห็นกระบวนค่ายกลป้องกันพังทลาย ศัตรูพวกนั้นแต่ละคนเหมือนแกล้วกล้าไม่กลัวตาย พุ่งโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ตูม ครืน!
ห้วงอากาศสั่นสะเทือน ฟ้าดินมืดสลัว ไอสังหารโหมกระหน่ำปกคลุมฟ้าดิน
หน้าต่างบานหนึ่งหากทะลวงเป็นรูโหว่ ลมหนาวพายุฝนภายนอกก็จะซัดเข้ามาทางช่องว่างนั้น
สถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนกัน ในหมู่ศัตรูไม่ขาดแคลนมกุฎอริยะที่สายตาเฉียบคม ตั้งแต่พริบตาแรกก็แทบจะระดมพลทัพใหญ่ในสนามรบทั้งหมดพุ่งมาที่กำแพงเมืองทันที
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดิน ราวกับเทพมารนับไม่ถ้วนแผดคำรามกระหึ่มใต้หล้า เงาร่างของผู้แข็งแกร่งมากมายพุ่งแหวกมาทางกำแพงเมืองเหมือนฝนแสงรุ้งเทพหนาแน่น
พริบตานี้ไม่ใช่แค่เซ่าเฮ่า แม้แต่มกุฎอริยะอย่างรั่วอู่ จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอก็ออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ
มกุฎอริยะนับสิบคนควบคุมบัญชาด้วยกัน อานุภาพนั้นจะน่ากลัวเพียงใด
การโจมตีนอกเมืองยังมาไม่ถึง ก็ถูกทุกคนร่วมมือกันซัดกระจาย
ผู้แข็งแกร่งที่บุกเข้ามาพวกนั้นล้วนตายอนาถในการฆ่าฟันอย่างดุเดือดของมกุฎอริยะทั้งหมด
เพียงพริบตานอกกำแพงเมืองก็มีฝนโลหิตราวน้ำตก ศพระเบิดต่อเนื่องเหมือนกองประทัดที่อยู่รวมกัน กลายเป็นภาพน่าสยอง
เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้สืบเนื่องได้ไม่นาน ในทัพใหญ่ของศัตรูก็มีเงาร่างมากมายที่อานุภาพร้ายกาจพุ่งออกมาสังหาร
มีทั้งชายและหญิง มีคนแก่และเด็ก กลิ่นอายล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เป็นมกุฎอริยะกลุ่มหนึ่ง!
“เมืองนี้ต้องพ่าย พวกเจ้ายังจะดิ้นรนก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ไม่ประมาณตนเอง!”
มีคนแค่นเสียงเย็นชา
“หากมีหลินสวินนั่นอยู่ พวกข้าอาจจะหวาดกลัวอยู่สามส่วน แต่อาศัยคนอย่างพวกเจ้าไม่อาจสร้างแรงคุกคามใดๆ ได้”
มีคนปรามาส
“ข้างกายข้าขาดบ่าวรับใช้สองสามคนอยู่พอดี แม่นางสองคนนั่นข้าจอง!”
ชายชราชุดหรูคนหนึ่งกวาดสายตามองรั่วอู่และจ้าวจิ่งเซวียน เผยแววตาเร่าร้อนออกมา
เพียงพริบตามกุฎอริยะหลายสิบคนก็รวมตัวอยู่หน้าเมือง ยืนอยู่กลางอากาศ ขับเคลื่อนพลังมุ่งเป้าไปที่พวกเซ่าเฮ่า
ในจุดที่ห่างออกไป ทัพพันธมิตรแปดดินแดนที่เดิมจู่โจมเข้ามาก็หยุดเดิน ไม่เคลื่อนไหวอีก
ด้วยศึกใหญ่นี้อย่าว่าแต่ให้พวกเขาสอดมือ แค่เข้าไปใกล้ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
“มารดาเจ้าเถอะ อาหลู่ ไปฆ่าไอ้เฒ่าสวะนี่ซะ!”
เจ้าคางคกเดือดจัด ตะโกนเสียงดังลั่น
ตูม!
อาหลู่ถือกระบองเหล็กมหึมาอันหนึ่ง พุ่งทะยานออกจากกำแพงเมืองไปตรงๆ!
ตัวเขาราวกับเทพเถื่อนดึกดำบรรพ์องค์หนึ่ง แผ่กลิ่นอายคลั่งระห่ำดิบเถื่อนเหมือนสมัยบรรพกาล พุ่งสังหารไปทางชายชราชุดหรูที่พูดจาจาบจ้วงจ้าวจิ่งเซวียนนั่น
เคร้ง!
ชายชราชุดหรูยกมือเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งออกมา แต่ชั่วพริบตาก็ถูกกระบองเหล็กฟาดกระเด็น ส่งเสียงปะทะเสียดหู
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ สูดหายใจเย็นเยียบ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าคนเถื่อนนี่ไม่เพียงแต่ใจกล้าพุ่งออกมานอกเมือง พลังต่อสู้ยังแข็งแกร่งเช่นนี้ด้วย
ยามชายชราชุดหรูคิดจะหลบก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ฝืนเข้าปะทะ
ปึง!
กระบองหนึ่งวาดกวาด ร่างของชายชรานั่นถูกซัดลอยออกไปโดยตรงเหมือนกระสอบทรายแตก กระดูกทั่วร่างหักไปไม่รู้กี่ท่อนในพริบตา ส่งเสียงสนั่นลั่นดังกรอบแกรบ
เมื่อพุ่งกระเด็นออกไปนอกระยะหลายร้อยจั้งจึงหยุดลง แต่ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก กระอักเลือดคำโตไม่หยุด
หนึ่งกระบองสะเทือนใต้หล้า!
มกุฎอริยะของค่ายทัพแปดดินแดนพวกนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
“บุกเข้าไปพร้อมกัน ฆ่า!”
พวกเขาลงมือโดยไม่ลังเล เรียกสมบัติ สำแดงวิชามรรค ออกโจมตีเต็มกำลัง
ตูม!
ในที่นั้นฟ้าดินอลหม่าน แสงมรรคแผ่พุ่ง
“ลงมือ!”
“ฆ่า!”
พวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ จ้าวจิ่งเซวียนก็ลงมือ การต่อสู้ชุลมุนระหว่างมกุฎอริยะปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ในยามนี้
ภาพเหตุการณ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเข้าไปร่วมได้อย่างสิ้นเชิง น่ากลัวเกินไปแล้ว
ในบริเวณอื่นทัพพันธมิตรแปดดินแดนไม่หยุดเพียงแค่นี้ กำลังบุกโจมตีกระบวนค่ายกลป้องกันเมืองที่โงนเงนใกล้พังนั้นอย่างต่อเนื่อง
ในเมือง ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณต่างเครียดกังวลถึงขีดสุด นั่งนอนไม่เป็นสุข
พวกเขาไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่ง ทั้งไม่มีทางหนีตาย ด้วยนอกเมืองถูกปิดล้อมนานแล้ว จึงได้แต่ฝากความหวังทุกอย่างไว้กับเหล่ามกุฎอริยะอย่างพวกเซ่าเฮ่าและรั่วอู่
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังคือ พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลย พลังของกระบวนค่ายกลที่ปกคลุมอยู่รอบเมืองอารักษ์มรรคก็กำลังพังทลายลงด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง!
ตูม!
ไม่นานกำแพงเมืองฟากหนึ่งที่อยู่ห่างหัวเมืองไปหลายพันจั้ง พลังของกระบวนค่ายกลพังทลายอย่างสมบูรณ์แล้ว เกิดเป็นช่องทางหนึ่ง
นอกเมือง เสียงโห่ร้องยินดีอย่างตื่นเต้นนับไม่ถ้วนดังขึ้น ดูเหี้ยมโหดอำมหิตยิ่งนัก
“แบ่งคนส่วนหนึ่งไปขวางตรงนั้นไว้!”
เซ่าเฮ่าตะโกนลั่น เสียงราวฟ้าผ่า
ทันใดนั้นก็มีมกุฎอริยะสองสามคนพุ่งออกไปป้องกัน
“ยอมแพ้เถอะ ครั้งนี้ทัพพันธมิตรแปดดินแดนประชิดเมือง พวกเจ้าไร้หนทางฟื้นคืนแล้ว หากไม่อยากตายอนาถเกินไปก็ยอมแพ้ตอนนี้ซะ!”
มกุฎอริยะต่างดินแดนคนหนึ่งกล่าวเย็นชา
“ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
เยี่ยเฉินก้าวขึ้นไปกลางอากาศ มือถือกระบี่ฟาดฟัน อานุภาพดุจมารคลั่ง ปราณกระบี่สะเทือนเก้าชั้นฟ้า
ตูม!
ทว่าไม่นานก็มีพลังของกระบวนค่ายกลอีกแห่งพังทลายเกิดเป็นช่องโหว่
“รั่วอู่ เจ้าพาคนส่วนหนึ่งไปป้องกัน!”
เซ่าเฮ่าตะโกนลั่น
รั่วอู่ไม่ลังเล พาคนส่วนหนึ่งพุ่งตัวไป
แต่ใครต่างก็รู้ว่าการป้องกันที่ถูกทำให้กระจายออกไปเช่นนี้เป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตามเวลาที่ล่วงเลย พลังของกระบวนค่ายกลมีแต่จะพังทลายไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงตอนนั้นอาศัยมกุฎอริยะแค่สิบกว่าคนอย่างพวกเขา มีหรือจะป้องกันเมืองทั้งหมดได้
เพียงพริบตาจิตใจของทุกคนต่างเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลหาใดเปรียบ
ยากจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้วจริงหรือ
“ฆ่า! ถ้าไม่ฆ่าให้ถึงที่สุดแล้วจะยอมแพ้ได้อย่างไร”
เซี่ยวชางเทียนตะโกนก้อง สีหน้าเด็ดเดี่ยว กวาดขวางฟาดฟันดั่งเซียนคลั่งกลางดาบ
ตามเวลาที่ล่วงเลย ในพื้นที่ต่างๆ ของเมืองอารักษ์มรรคทยอยมีกระบวนค่ายกลพังทลาย ช่องโหว่ที่เกิดขึ้นนานเข้าก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หากพูดว่าเมืองอารักษ์มรรคก่อนหน้านี้เป็นอาภรณ์สวรรค์ไร้ตะเข็บ เช่นนั้นอาภรณ์สวรรค์ยามนี้ก็เริ่มมีรูโหว่เป็นห้วงๆ แล้ว!
สถานการณ์ก็ล่อแหลมอันตรายถึงขีดสุด!
พูดได้อย่างไม่เกินจริงว่าขอแค่มีจุดหนึ่งถูกทำลาย เมืองอารักษ์มรรคจะต้องล่มสลายด้วยเหตุนี้แน่ ถึงตอนนั้นผู้ฝึกปราณในเมืองก็จะถูกลิขิตให้ไม่อาจหนี ถูกสังหารหมู่และฆ่าฟันตามอำเภอใจ
พรูด!
ไม่ทันไรเซ่าเฮ่าก็กระอักเลือด
ด้วยกระจายกำลังพลมากเกินไป ยามนี้ที่หน้ากำแพงเมืองเหลือแค่เขา อาหลู่ เจ้าคางคก จ้าวจิ่งเซวียนสี่คนที่ร่วมมือกันฆ่าฟัน
ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกเขาก็คือมกุฎอริยะหลายสิบคน!
ฮูม…
ยามนี้เซ่าเฮ่าใช้คัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิที่อบอวลแสงม่วงนั้นอีกครั้ง จึงต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ได้
‘ทั้งสามคน ประเดี๋ยวข้าจะจัดการเดรัจฉานพวกนี้แล้วเปิดทางโลหิตให้พวกเจ้า ถือว่าข้าเซ่าเฮ่าตอบแทนบุญคุณของพี่หลิน’
เซ่าเฮ่าสื่อจิตเสียงเรียบ มองความตายเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
‘ท่านทั้งสามไม่ต้องพูดมาก เมืองนี้ต้องพังทลายแน่ หากทุกท่านรอดไปได้ ภายหน้ามีหรือจะไม่มีโอกาสเอาคืน!’
เจ้าคางคก อาหลู่และจ้าวจิ่งเซวียนต่างจิตใจปั่นป่วน คิดไม่ถึงว่าเซ่าเฮ่าจะตัดสินใจเช่นนี้ นี่ทำให้พวกเขาอดไหวหวั่นไม่ได้ ไม่อาจนิ่งสงบ
‘ไม่ได้ ในเมื่อจะทุ่มสุดตัว ทุกคนก็ต้องสู้ตายด้วยกัน!’
จ้าวจิ่งเซวียนปฏิเสธหนักแน่น
เจ้าคางคกและอาหลู่ร้อนรนทันที พวกเขามีหรือจะทนมองจ้าวจิ่งเซวียนสู้จนตัวตายได้
“ฮึ ยังคิดจะฝ่าวงล้อมเปิดทางโลหิต ไม่มีทาง!”
ทันใดนั้นก็มีศัตรูแค่นเสียงเย็นชา
“ในรัศมีสามพันลี้นอกเมืองถูกวางกระบวนค่ายกลไว้หมดแล้ว พวกเจ้ามีกระบวนผนึกอริยมรรคป้องกันเมือง คิดว่าพวกข้าไม่มีกระบวนผนึกอริยมรรคล้อมเมืองนี้ไว้หรือ”
และมีคนเยาะหยัน
อะไรนะ!?
พวกเซ่าเฮ่าและจ้าวจิ่งเซวียนต่างหน้าเปลี่ยนสี ใจตกไปที่ตาตุ่ม
แน่ใจได้เลยว่าครั้งนี้ศัตรูบุกโจมตีเต็มกำลัง เห็นชัดว่าต้องทำทุกทาง ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปสักคน!
“ดูท่า… คงได้แต่ให้ทุกท่านสู้ตายไปถึงท้ายที่สุดกับข้าแล้ว…”
เซ่าเฮ่าถอนใจยาว เหมือนว่าช่วยพวกจ้าวจิ่งเซวียนไม่ได้จึงรู้สึกละอายอยู่บ้าง
“ก็แค่ตายเท่านั้น แต่ก่อนตายต้องลากพวกมันไปปรโลกด้วย!”
นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเยียบเย็น
“มารดามันเถอะ สู้มัน!”
เจ้าคางคกสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด พลันกัดฟันกรอดส่งเสียงคำราม ตั้งใจทุ่มสุดตัวโดยไม่สนอะไรแล้ว
“แม่งเอ๊ย!”
อาหลู่ตาแทบถลน ดวงตาแดงไปหมด
ตูม ครืน!
ศึกใหญ่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เทียบกันแล้วกลับบ้าระห่ำและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเมืองอารักษ์มรรคล้วนตกอยู่ในอันตรายที่อาจดับสลายได้ตลอดเวลา
“บอกพวกเจ้าเลยว่านอกเมืองมีกระบวนผนึกอริยมรรคทั้งหมดเก้าชั้น ต่อให้พวกเจ้าตีฝ่าวงล้อมออกจากเมืองไปได้ ก็หนีการปิดล้อมสังหารของกระบวนผนึกอริยมรรคพวกนี้ไม่พ้น”
มีคนยิ้มกล่าว ท่าทางเหมือนกำชัยไว้แล้ว
เซ่าเฮ่ากระอักเลือดไม่หยุด หน้าซีดเผือด แต่สีหน้ากลับเด็ดเดี่ยวเหมือนตอนต้น ไม่เคยสั่นคลอน
จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ก็ยังสีหน้าเยียบเย็น ไม่เอ่ยวาจา
เพียงแต่พวกเขาใครก็ไม่รู้ว่าการต่อสู้เช่นนี้จะยืดเยื้อไปนานเท่าไร ทั้งจะปกป้องเมืองอารักษ์มรรคไปได้อีกแค่ไหน…
“หากพี่ใหญ่อยู่จะดีแค่ไหนกันนะ!”
เจ้าคางคกพลันถอนใจยาว เขาไม่ได้หวังให้หลินสวินกลับมาช่วย แต่พอคิดถึงว่าจะไม่ได้เจอกับพี่ใหญ่อีก การตายในสนามรบเช่นนี้จะไม่เจ็บใจเกินไปหน่อยหรือ
“ฮึ เวลานี้ไม่ว่าใครมาก็ทำลายกระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้นที่อยู่นอกเมืองนี้ไม่ได้ ข้าว่าพวกเจ้าตัดใจเถอะ!”
มีคนกล่าวเสียงขรึม
ตูม!
แต่เมื่อเสียงของเขาเพิ่งแผ่วลง ในจุดที่ห่างจากเมืองไปไกลพลันมีเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้น
ที่มาพร้อมกันคือเสียงร้องระงมนับไม่ถ้วน
……………..
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท