“บุกพร้อมกัน!” มู่จือเสว๋ตะโกนด้วยเสียงเย็นชา
“บุก!” สมาชิกกลุ่มหนึ่งของตระกูลมู่พุ่งเข้าไปพร้อมกัน คิดจะอาศัยคนจำนวนมากเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย
เพียงแต่เมื่อเผชิญกับพลังที่ทรงพลังอย่างแท้จริงแล้ว ปริมาณไม่มีประโยชน์
เฉินโม่เพียงแค่สะบัดมือ คนพวกนั้นก็ล้มอยู่บนพื้น และร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
มู่จือเสว๋มองเฉินโม่ด้วยความโกรธ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ชื่อเสียงของเฉินไต้ซือสมคำร่ำลือจริง ๆ”
“ตระกูลมู่มีความสามารถแค่นี้เหรอ?” เฉินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม เพราะสำนักยาเซียนวางมากใหญ่โตไม่ด้อยไปกว่าตระกูลบู๊ใด ๆ แต่ความแข็งแกร่งนั้นแย่กว่าตระกูลบู๊หลายระดับ
ตระกูลมู่เป็นตระกูลกลั่นยา ซึ่งพลังบำเพ็ญของพวกเขาด้อยกว่าตระกูลบู๊มันก็เป็นเรื่องปกติ
สีหน้าของมู่จือเสว๋น่าเกลียดมาก แต่เมื่อทักษะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ เขาก็จนปัญญาและไม่สามารถทำอะไรได้
“เจ้าหนู แกอย่าจองหองมากนัก ตระกูลมู่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และภูมิหลังของตระกูลไม่ใช่สิ่งที่แกจะสามารถจินตนาการได้!”
“ถ้าแกมีความสามารถก็ตามฉันมา!” มู่จือเสว๋กล่าวด้วยสีหน้ายั่วยุ
“โอเค ฉันก็อยากรู้ว่าตระกูลกลั่นยาที่สืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จะซ่อนไผ่ตายอะไรเอาไว้!” สีหน้าของเฉินโม่ราบเรียบ พาโจวลี่เต๋อเดินตามมู่จือเสว๋ออกไปอย่างช้า ๆ
มู่จือเสว๋พาเฉินโม่เดินออกมาจากห้องโถง เดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ แล้วมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง
มีพื้นที่เรียบอยู่กลางหน้าผา และมีห้องลับอยู่บนพื้นที่เรียบแห่งนั้น
มู่จือเสว๋หันหน้าไปทางห้องลับ โค้งคำนับและตะโกนว่า “มู่จือเสว๋ เป็นลูกหลานที่ไร้ความสามารถของตระกูลมู่ บรรพบุรุษ โปรดออกหน้ามาช่วยแก้วิกฤตของตระกูลมู่ด้วยเถอะ!”
เฉินโม่หรี่ตาลงเล็กน้อย และคิดอยู่ในใจว่า “บรรพบุรุษของตระกูลมู่? เป็นเฒ่าสัตว์ประหลาดตั้งแต่เมื่อไหร่!”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูหินสีเขียวแคบ ๆ ของห้องลับเปิดอย่างช้า ๆ เกิดเสียงหินเสียดสีที่แสบแก้วหู
ชายชราสวมชุดคลุมสีดำยาว และผมขาวทั้งหมด เดินออกมาอย่างช้า ๆ
ถึงแม้ว่าชุดคลุมสีดำที่เขาสวมจะเหมือนกับมู่จือเสว๋ทุกประการ แต่บริเวณขอบเสื้อตรงหน้าอกเป็นแถบสีขาว
ดูแล้วชายชราคนนี้อายุมากแล้ว แต่เขายังคงยืนตัวตรง ร่างกายเต็มไปด้วยพลัง ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนบุคคลสูงศักดิ์
“บรรพบุรุษ!” มู่จือเสว๋รู้สึกดีใจ รีบคุกเข่าคำนับชายชราด้วยความนอบน้อม
ชายชราเหลือบมองมู่จือเสว๋ และกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “นายเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่เท่าไหร่ของตระกูลมู่?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉินโม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ชายชราคนนี้ปลีกวิเวกนานแค่ไหนแล้ว? เขาไม่รู้กระทั่งมู่จือเสว๋เป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่เท่าไหร่!”
ถึงแม้ว่าชายชราจะละเลยเขา แต่มู่จือเสว๋ก็ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพเขาแม้แต่น้อย เขาตอบด้วยความนอบน้อมว่า “รายงานบรรพบุรุษ ผมมู่จือเสว๋ เป็นผู้นำรุ่นที่ 37 ของตระกูลมู่!”
“รุ่นที่ 37” สีหน้าของชายชราสับสนเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องในอดีต
“หมายความว่าผมปลีกวิเวกไปหกสิบกว่าปีแล้ว”
สีหน้าของโจวลี่เต๋อที่ยืนอยู่ข้างเฉินโม่เต็มไปด้วยความตกใจ ปลีกวิเวกครั้งหนึ่งเป็นเวลาหกสิบกว่าปี นี่มันเป็นแนวคิดแบบไหนกัน? บุคคลนี้เป็นเทพเหรอ?
เฉินโม่ตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน เพราะตามนักบู๊ของโลกที่เขาเคยสัมผัสมา ดูเหมือนว่าไม่มีพลังที่สามารถสนับสนุนนักบู๊คนหนึ่งให้ปลีกวิเวกครั้งละหลายสิบปีได้
เว้นแต่นักบู๊เองจะมีพลังมหาศาล และสามารถอาศัยดูดซับพลังทิพย์เพื่อที่จะเสริมสร้างพลังที่ร่างกายสูญเสียไป
เพียงแต่ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของชายชราที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ยังไม่ถึงระดับนั้น
แต่เมื่อเปลี่ยนมุมคิด เฉินโม่ก็เข้าใจทันที เพราะชายชราคนนี้เป็นสมาชิกของสำนักยาเซียน ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ยาแทนพลัง เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะทำให้เขาปลีกวิเวกเป็นเวลานานได้
“ผมชื่อมู่หงเต้า ขอถามว่านายชื่ออะไร?” ดวงตาของชายชรากลับมาสดใส เขาหันไปมองเฉินโม่ และถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ถ้าสมาชิกโลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยอยู่ที่นี่ เมื่อพวกเขาได้ยินชื่อของมู่หงเต้า พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน!
ถึงแม้ว่าพลังบำเพ็ญของมู่หงเต้าจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่สมัยนั้นมู่หงเต้าได้ช่วยกองทัพต่อต้านทหารที่มารุกรานด้วยตัวเอง วีรบุรุษคนหนึ่งได้จารึกว่ามู่หงเต้าเป็นฮว่าถัวกลับชาติมาเกิด!