Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1626 มุ่งสู่หอฤทธิ์เทพ

ตอนที่ 1626 มุ่งสู่หอฤทธิ์เทพ
ไม่ทันไรเจ้าคางคกก็เดินลงมาจากแท่นมรรค และเหมือนเมามายเช่นเดียวกัน ทำหน้าหวานตาเยิ้ม สติพร่าเลือนจมภวังค์
ครู่ใหญ่กว่าเขาจะกล่าวอ้อยอิ่ง ท่าทางคล้ายมึนเมา “โชควาสนามหามรรคช่าง… วิเศษเกินบรรยาย สุดจะเปรียบเปรยจริงๆ ด้วย”
“ไหนข้าลองบ้าง”
อาหลู่อดไม่อยู่นานแล้ว เดินหน้าเริดขึ้นไป
ไม่ทันไรอาหลู่ก็ตัวเซกลับมา ทำปากจุ๊ๆ คล้ายติดใจ “ความรู้สึกนี้ก็เหมือน… เหมือนหัวใจโบยบิน กระดูกล้วนกรอบร่วน วิเศษนัก!”
หลินสวินยกยิ้มน้อยๆ สายตามองทางจ้าวจิ่งเซวียน “เจ้าเองก็ไปลองดูด้วยสิ”
จ้าวจิ่งเซวียนพยักหน้า เหินไปเหยียบบนแท่นมรรคและหย่อนตัวนั่งลง
“พี่ใหญ่ พวกเราจะไปแก้แค้นเมื่อไหร่”
เจ้าคางคกอาศัยจังหวะนี้เอ่ยถามหน้าระรื่น “ปีนั้นศัตรูที่รังแกพวกเราพี่น้องไม่ใช่น้อยๆ ตอนนี้ก็ถึงเวลาเอาคืนครั้งใหญ่แล้ว”
“เจ้าคางคกพูดถูก” อาหลู่พยักหน้าหงึกๆ
หลินสวินกลับส่ายหน้า กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ได้ พวกเจ้ารอข้ากลับมาก่อน ค่อยคุยเรื่องแก้แค้นกันทีหลัง”
เหตุใดเขาถึงไม่อยากไปแก้แค้นในทันที
ควรรู้ว่าวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ตอนนี้ยังถูกจองจำอยู่ในรังของเผ่าอีกาทองนั่น!
นอกจากนี้ปีนั้นก่อนเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดนก็มีพวกเฒ่าชราไม่น้อยลอบลงมือในเงามืด หมายจะสังหารเขา ตัดภัยร้ายในอนาคต
อย่าง ‘ฝ่าหลิน’ จากอารามกษิติครรภ์ หรืออาวุโสเฒ่าคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า หรืออย่างเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ชื่อ ‘เซียวเหยา’ จากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์
คนพวกนี้กังวลว่าหลังจากเขาเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดนแล้วจะกลายเป็นเสี้ยนหนามตำใจชิ้นใหญ่ จึงพากันลงมืออย่างโหดเหี้ยม
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ดั่งใจหวัง ถูกเฒ่ากระบี่เมาที่ขี่ลาเขียว ไว้เครากระบี่คนนั้น รวมถึงผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสอย่างพวกเยวี่ยอู๋เทียน หญิงแต่งงานแล้วที่โฉมงามผมขาว เยี่ยจิ่วเซียว เซี่ยวปู้กุย เหวยฉางอวิ๋นขัดขวาง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามการจัดวางของท่านเซิ่น
จากที่ท่านเซิ่นว่า นี่ก็คือความเคียดแค้น หากศัตรูเหล่านั้นไม่ถือโอกาสนี้จัดการหลินสวิน ต่อไปก็ย่อมมีโอกาสไม่มากเท่าไหร่แล้ว
เพราะหลินสวินในตอนนั้น เป็นพวกที่เกือบไร้ศัตรูในระดับต่ำกว่าอริยะ
เขามีรากฐานแข็งแกร่ง พรสวรรค์โดดเด่น ตัวคนเดียวก็สามารถส่งผลกระทบต่อคลื่นลมในใต้หล้า สามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้นสิ้นหวัง
ตัวคนเดียวเช่นนี้ หลังจากเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน ตราบใดที่ไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันย่อมสามารถบรรลุมกุฎอริยะได้แน่นอน!
และเมื่อหลินสวินกลับจากสมรภูมิเก้าดินแดน ก็จะถึงคราวที่พวกสำนักโบราณเหล่านั้นกินไม่อิ่มนอนไม่หลับแล้ว!
ดังนั้นในตอนแรกศัตรูที่อาฆาตแค้นหลินสวินพวกนั้นจึงพากันลงมือโหดเหี้ยม ไม่สนทุกสิ่ง หมายจะโจมตีสังหารหลินสวินให้ได้
น่าเสียดาย สุดท้ายพวกเขาก็ล้มเหลว
และตอนนี้หลินสวินพกอานุภาพล้นฟ้า ใช้สถานะอันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนหวนคืนสู่ดินแดนรกร้างโบราณอีกครั้ง!
บัญชีเก่าเหล่านั้นย่อมปล่อยไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“พี่ใหญ่คิดจะมุ่งหน้าไปหอฤทธิ์เทพคนเดียวหรือ”
เจ้าคางคกตะลึงงัน
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร
เพราะเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ความจริงแล้วอยู่ที่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณต่างหาก นั่นเป็นโลกของผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิกรำศึกกัน!
หากพาพวกเจ้าคางคกไปด้วย มันอันตรายเกินไป
เวลานี้จ้าวจิ่งเซวียนก็กลับมาแล้ว บังเอิญได้ยินประโยคนี้เข้าจึงอดกล่าวไม่ได้ “แม้แต่ข้าก็ไม่พาไปหรือ”
หลินสวินอ้ำอึ้ง กล่าวว่า “เจ้ากับพวกเจ้าคางคกและอาหลู่รอข้ากลับมาก็พอแล้ว”
กล่าวพลางไม่รอให้จ้าวจิ่งเซวียนเอ่ยปาก เงาร่างเขาก็ขยับพุ่งไปทางแท่นมรรคนั่น หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิ
จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่สบตากัน ต่างตระหนักได้ว่าหลินสวินตัดสินใจแล้ว ใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
ทันทีที่นั่งบน ‘แท่นมรรค’ หลินสวินก็รู้สึกแปลกพิกล จิตวิญญาณเสมือนจมดิ่งท่ามกลางกระแสพลุ่งพล่าน ล่องลอยตามสายนทีในดินแดนเร้นลับเวิ้งว้าง
นั่นคือพลังของโชควาสนามหามรรค!
แต่พอสงบจิตหยั่งรู้เข้าจริงๆ กลับไม่สามารถเข้าใจ ‘ความเร้นลับ’ ภายในนั้น คลุมเครือลึกลับมากเกินไป โกลาหลวุ่นวาย สุดแสนพรรณนา
ชะตาและโชคเป็นหนึ่งเดียวมาแต่ไหนแต่ไร และการถือกำเนิดของโชควาสนามหามรรค ก็เพียงพอจะส่งผลต่อดวงชะตาแสวงมรรคของคนผู้หนึ่งได้
การเปลี่ยนแปลงของโชควาสนา ย่อมส่งผลต่อทิศทางของรูปแบบชะตาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ไม่ว่าใคร ต่อให้มีปราณเกรียงไกรอย่างระดับจักรพรรดิ ก็ยังยากจะสลัดโซ่ตรวนแห่งโชคชะตาได้!
กระโดดออกจากโลกปุถุชนนั้นทำได้ แต่หากคิดจะกระโดดออกจากผลกรรม บ่วงแห่งโชคชะตา กลับเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ก็เหมือนในตอนนี้ จากระดับปัจจุบันของหลินสวินก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจปริศนาแท้จริงของโชควาสนามหามรรคได้
แต่สิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางการไปไขว่คว้าพลังเร้นลับเช่นนี้ของเขา
หนำซ้ำ ความยิ่งใหญ่ของจำนวนผลงานที่เขาสั่งสมในป้ายคำสั่งรกร้างโบราณทั้งหมด ก็เพียงพอจะทำให้เขาได้รับโชควาสนามหามรรคที่เหนือจินตนาการ!
“หืม?”
ดังคาด ไม่ทันไรข้ารับใช้วิญญาณที่เฝ้าสังเกตเรื่องทั้งหมดอย่างเงียบๆ มาตลอดก็ตระหนักถึงความผิดปกติเช่นกัน อดกล่าวด้วยความตกใจไม่ได้ “เด็กนี่สะสมผลงานมาเท่าไหร่กันแน่”
ในสายตาของเขา พลังโชควาสนามหามรรคที่ไหลรวมอยู่ทั่วทั้งภูเขาเทพไร้มรณะนับแต่กาลเวลาไร้สิ้นสุดสืบมา เวลานี้กำลังไหลทะลักไปหาหลินสวินไม่ขาดสาย ประหนึ่งน้ำท่วมทะลักเขื่อน ไม่มีปลายทาง!
“เยอะมาก เยอะจนไม่อาจจินตนาการ”
พวกเจ้าคางคก อาหลู่สีหน้าแปลกพิกล
เมื่อคำนวณอย่างละเอียด ในช่วงสามปีนับตั้งแต่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้นจนบัดนี้ จำนวนผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินก็เหมือนจำนวนเม็ดทราย ไม่สามารถนับคำนวณได้เลย!
และตอนนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนแปลงเป็นผลงานมหาศาล กลายเป็นลูกตุ้มวัดน้ำหนักให้หลินสวินรับโชควาสนามหามรรค
“พวกเจ้าก็บอกไม่ถูกหรือ”
ข้ารับใช้วิญญาณอึ้งไป รู้สึกเหลือเชื่อ
“ผู้อาวุโส ท่านไม่รู้เสียแล้ว ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ สาเหตุที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ ก็แทบจะต้องกราบคารวะพี่ใหญ่ข้าทั้งนั้น…”
เจ้าคางคกอดกล่าวอธิบายไม่ได้
เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ข้ารับใช้วิญญาณถึงกับอึ้งงัน พักใหญ่กว่าจะทอดถอนใจ “มิน่า มิน่าล่ะ…”
แต่ไม่ทันไรข้ารับใช้วิญญาณก็หน้าเปลี่ยนสี กล่าวว่า “เจ้าหนูนี่ตั้งใจจะกลืนโชควาสนามหามรรคของภูเขาเทพไร้มรณะจนหมดเลยหรือ”
ข้ารับใช้วิญญาณวิวัฒน์จากพลังกฎระเบียบของภูเขาเทพไร้มรณะ มีแต่เขาที่ตระหนักได้ถึงชัดเจน ว่าพลังโชควาสนามหามรรคที่สั่งสมอยู่บนภูเขาเทพไร้มรณะนี้ ถูกหลินสวินคว้าไปคนเดียวเกือบสี่ส่วน!
หนำซ้ำปรากฏการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ!
จนกระทั่งตอนที่หลินสวินเดินลงจากแท่นมรรค สีหน้าของข้ารับใช้วิญญาณก็คล้ำเขียวหมดแล้ว สายตาจ้องหลินสวินเขม็ง ทำท่าเหมือนอยากจะฆ่าคน
นี่ทำเอาหลินสวินอดสะดุ้งตกใจไม่ได้ ก็แค่คว้าโชควาสนามหามรรคส่วนหนึ่งเท่านั้น ต้องทำหน้าเช่นนี้เลยหรือ
เขาไม่รู้เลยว่าโชควาสนามหามรรคที่ต้องผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดกว่าจะสั่งสมมาได้บนภูเขาเทพไร้มรณะ ถูกเขาเก็บไปกว่าครึ่งหนึ่งเต็มๆ มีหรือข้ารับใช้วิญญาณจะไม่เจ็บปวดใจ
แต่ก็โชคดี ข้ารับใช้วิญญาณเป็นเพียงร่างแปลงจากพลังกฎระเบียบ หากเป็นเจ้าของภูเขาเทพไร้มรณะ เกรงว่าคงลงมือฆ่าคนไปนานแล้ว
“พี่ใหญ่ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง” เจ้าคางคกอดถามไม่ได้
หลินสวินได้ยินเช่นนี้ก็อดถอนใจกล่าวไม่ได้ “วิเศษเกินบรรยายจริงๆ ด้วย ครู่เดียวสั้นๆ ก็ทำให้ปราณข้าก้าวหน้าไปอีกขั้น ตอนนี้ก้าวสู่ขั้นปลายระดับอริยะแท้อย่างราบรื่นแล้ว!”
“…” เจ้าคางคก อาหลู่ จ้าวจิ่งเซวียนต่างจุกอก ไร้คำพูดตอบโต้
เจ้านกดำยิ่งรับไม่ได้ ร้องว่า “นี่เป็นแค่โชควาสนามหามรรค ส่งผลต่อโชควาสนาของเจ้าตัว เหตุใดถึงทำให้ปราณของเจ้าก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นไปเสียได้”
หลินสวินทำหน้าใสซื่อ “ข้ารู้ที่ไหน บางทีนี่อาจโชคดีก็ได้”
โชคดีกับผีสิ!
เจ้านกดำเลือดขึ้นหน้าจนอยากจะต่อยคนแล้ว
……
ในวันเดียวกันนั้น ขบวนของพวกหลินสวินออกจากภูเขาเทพไร้มรณะ หวนสู่ทะเลหมากดารา
และยามนี้ทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณกำลังครึกครื้นรื่นเริง ชัยชนะยิ่งใหญ่ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนทำให้ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าต่างคึกคะนอง มีเหตุผลไม่เฉลิมฉลองเสียที่ไหน
นี่เป็นถึงเรื่องน่ายินดีที่ไม่เคยมีมาก่อน!
แต่ก็มีขุมอำนาจส่วนหนึ่งที่เงียบงันอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนคับอกคับใจ
อย่างเช่นแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ อารามกษิติครรภ์ เผ่าอีกาทอง เผ่าวิญญาณสมุทร สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูรเป็นต้น
ขุมอำนาจเหล่านี้ล้วนความแค้นที่ยังไม่สะสางกับหลินสวิน
เมื่อรู้ถึงผลงานการรบครั้งแล้วครั้งเล่าในสมรภูมิเก้าดินแดนของหลินสวิน รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ที่เคยถูกพวกเขามองเป็นหนามยอกอก ตอนนี้กลายเป็น ‘อันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดน’ แล้ว ไหนเลยจะรู้สึกเบิกบานได้
“แนวโน้มสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เจ้านี่… กลายเป็นภัยร้ายยิ่งใหญ่แล้ว!”
คนไม่รู้เท่าไหร่ทอดถอนใจคร่ำครวญ
“จากอำนาจบารมีในปัจจุบันของเขา หากคิดแก้แค้นก็เท่ากับหายนะชัดๆ”
และมีคนไม่รู้เท่าไหร่วิตกกังวล
“บัดซบ! เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เจ้าเหลือขอที่ไร้สำนักตัวคนเดียวอย่างเขา ตอนนี้ถึงกับกลายเป็นผู้กอบกู้ของทั้งดินแดนรกร้างโบราณหรือ”
“รู้เช่นนี้แต่แรก ไม่ว่าต้องเสียอะไรก็ควรฆ่าเขาทิ้งก่อนบรรลุระดับอริยะ!”
ยิ่งมีคนโกรธแค้นยากจะสงบ เดือดดาลไร้สิ้นสุด
“เจ้าหมอนี่ดุร้ายบ้าระห่ำ เจ้าคิดเจ้าแค้น ตอนนี้มีอำนาจขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเลือกอดกลั้นไว้ แค่ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกลงมือเมื่อไหร่”
“อีกอย่าง ได้ยินว่าในสมรภูมิเก้าดินแดน ไม่ว่าคนรุ่นเยาว์ดินแดนรกร้างโบราณที่บรรลุมกุฎอริยะคนใดก็แทบจะเชื่อฟังคำสั่งของหมอนี่กันหมด หากรู้ว่าเขาจะลงมือกับพวกเรา มีหรือจะไม่ช่วยหนุน”
“เฮ้อ!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเดียวกันดังก้องในขุมอำนาจทุกแห่งที่เป็นปฏิปักษ์กับหลินสวิน ชั่วขณะนั้นเล่นเอาขุมอำนาจเหล่านั้นพากันมืดแปดด้าน ใจหายใจคว่ำ
หลินสวินไม่เหมือนแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง เขาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของพลัง หรืออิทธิพลบารมี ล้วนกลายเป็นคนที่สามารถข่มขวัญขุมอำนาจแห่งหนึ่งได้!
และขุมอำนาจที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเขา ใครจะไม่หวั่นใจกับเรื่องนี้บ้าง
ถึงขั้นที่นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเขาต่างเริ่มวางแผนว่าจะตั้งรับอย่างไร เผื่อว่าหลินสวินมาหาถึงที่จริงๆ
ถ้ามีแค่หลินสวินคนเดียวก็ยังไม่น่ากลัวนัก
แต่ถ้าหากคนรุ่นเยาว์ที่เหยียบย่างระดับมกุฎอริยะในสมรภูมิเก้าดินแดนพวกนั้นพร้อมใจกันออกหน้าแทนหลินสวิน นั่นต่างหากที่เรียกว่าปัญหา!
เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายคือ พร้อมๆ กับที่เวลาเคลื่อนคล้อย หลายวันผันผ่าน อิทธิพลบารมีของหลินสวินยังคงโจษจันทั่วทั้งดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ตัวเขากลับเหมือนระเหยหายไปจากโลก ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากหลินสวินกลับจากสมรภูมิเก้าดินแดนแล้วไปไหนต่อ
……
หอฤทธิ์เทพ
“สนามรบแนวหน้าอันตรายหาใดเปรียบ ผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิล้วนมีความเสี่ยงที่จะร่วงหล่นกันหมด เจ้าคิดจะไปจริงๆ หรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนอดเอ่ยเตือนไม่ได้
เมื่อครู่นี้เอง หลินสวินมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ แต่พอเข้าใจจุดประสงค์การมาของหลินสวิน เขาก็ไม่อาจสงบเยือกเย็นได้อย่างสิ้นเชิง
สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณ
นั่นเป็นถึงพื้นที่อันตรายที่สามารถทำให้ราชันอริยะต่างหน้าถอดสีเมื่อเอ่ยถึง มองได้แต่ไม่อาจกล้ำกราย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันพวกระดับกึ่งจักรพรรดิที่ฝีมือเทียมฟ้าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่างต้องฝังร่างไว้ภายในนั้น
แต่หลินสวินถึงกับตั้งใจจะมุ่งหน้าไปที่นั่นเพียงลำพัง!
นี่จะไม่ให้ท่านเมี่ยวเสวียนตกใจได้อย่างไร
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท