เห็นเฉินโม่เดินต่อ พวกนักบู๊ด้านหลังนั่งไม่ติดทันที
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” หลี่เจ๋อพูดกับอาจารย์ของตัวเอง
“ไป!”
พวกหยางหมิงหยู่เงียบไม่พูดอะไร เดินตามเฉินโม่เงียบๆ ตั้งนานแล้ว
นักบู๊ทั้งหมดเดินตามหลังเฉินโม่ เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ
เดินได้อีกระยะหนึ่ง มีตำหนักปรากฏขึ้นด้านหน้าทุกคนอีกครั้ง ล่างบันไดหินด้านหน้าตำหนัก มีนักบู๊ยืนอยู่หลายสิบคน
ดูเหมือนทางเข้าเขาซูคงมีเยอะมาก
เห็นนักบู๊อย่างพวกเฉินโม่มา สีหน้าคนพวกนั้นราบเรียบ ไม่มีความตกใจสักนิด
เฉินโม่มองป้ายด้านบนตำหนัก ด้านบนมีตัวอักษรสีเทาสามตัว: ตำหนักชางหยุน!
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างตกใจ “ตำหนักชางหยุนเหรอ หรือจะเป็นวิมานของนักพรตชางซง เซียนผู้เป็นอิสระคนสุดท้ายเมื่อพันปีก่อน”
เฉินโม่มองผู้อาวุโสคนนั้น แล้วถามว่า “นักพรตชางซงเหรอ เป็นใครมาจากไหน”
“จากบันทึกในหนังสือโบราณของโลกฝึกบู๊ นักพรตชางซงเป็นเซียนคนสุดท้ายเมื่อพันปีก่อน ถ้าพูดในตอนนี้น่าจะเป็นคนที่ทะลุแดนเทพไปแล้ว!”
เฉินโม่พูดในใจ “เหนือกว่าแดนเทพ มีแดนที่สูงยิ่งกว่าตามคาด เรียกว่าเซียนก็ไม่เกินไป แต่ไม่รู้ว่าเซียนอิสระท่านนี้พละกำลังเป็นยังไง”
“เฉินโม่ ทำไมคนพวกนี้ไม่เข้าไป ยืนตรงนี้ทำไม” เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนถามอย่างสงสัย
เฉินโม่มองตำหนักแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างราบเรียบ “มีค่ายกล!”
“หา ที่นี่ก็มีค่ายกลด้วยเหรอ!” เนี่ยเสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยความตกใจ สำหรับเด็กผู้หญิงที่เพิ่งเหยียบเข้ามาในโลกฝึกบู๊เพราะความโชคดีในความโชคร้าย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมผู้บำเพ็ญพวกนี้ ถึงชอบวางค่ายกลไว้ในที่อยู่อาศัยของตัวเอง
หญิงงามสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงด้านหน้า ได้ยินคำพูดของเฉินโม่ แอบหันมามองเฉินโม่อย่างประเมิน
“น้องชายท่านนี้ ในเมื่อมองเพียงแวบเดียว นายก็รู้ว่าที่นี่มีการวางค่ายกล ไม่ทราบว่านายมีวิชาทำลายค่ายกลหรือเปล่า” ผู้หญิงคนนั้นเดินมาข้างเฉินโม่ แล้วถามเบาๆ
เฉินโม่มองผู้หญิงคนนี้อย่างประเมิน เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ก็เป็นนักบู๊โบราณ
อีกทั้งจำนวนนักบู๊โบราณบริเวณรอบๆ อย่างน้อยคิดเป็น 40% ดูเหมือนการเปิดเขาซูคงครั้งนี้ ดึงดูดพลังที่แอบซ่อนอยู่ในที่มืดได้เป็นจำนวนมาก
เฉินโม่กวาดตามองผ่านผู้หญิงคนนั้น ท่าทางเฉยเมยเป็นอย่างมาก “เธอเป็นใคร”
แววตาผู้หญิงคนนั้นฉายแววตกใจ ปกติสายตาที่ผู้ชายพวกนั้นมองเธอ แทบจะคว้านเนื้อเธอออกมา แต่คนหนุ่มตรงหน้ากลับมองเธออย่างเฉยเมย แล้วก็ละสายตาออกไป อีกทั้งยังมีท่าทีเย็นชาอีกด้วย
ผู้หญิงเก็บความคิดดูถูกเอาไว้ทันที คารวะอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ฉันเซี่ยฉิง สำนักเฟยหยู่ ยังไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย”
“เธอไม่ต้องรู้ชื่อฉันหรอก และเธอก็ไม่มีทางได้อะไรจากฉันด้วย กลับไปเถอะ” เฉินโม่พูดอย่างเย็นชา เขามองเพียงแวบเดียวก็มองออกว่าผู้หญิงที่ชื่อเซี่ยฉิง มีความคิดลึกซึ้ง เขาไม่อยากสนทนากับคนแบบนี้
เซี่ยฉิงโมโหเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอโดนเมินใส่ หลังจากบอกที่มาของตัวเอง
“อย่าบอกนะว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อสำนักเฟยหยู่” เซี่ยฉิงคิดในใจ ถ้ารู้จักสำนักเฟยหยู่ คนอื่นแทบจะประจบสอพลอกันไม่ทัน เขาไม่ควรเฉยเมยใส่แบบนี้
นักบู๊หนุ่มที่อยู่ข้างๆ ยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเซี่ยฉิง สำนักเฟยหยู่ หนึ่งในสี่จตุรเทพของสายเลือดบู๊โบราณ จะมีตอนที่โดนคนเมินใส่ด้วย!”
เซี่ยฉิงจ้องเขาเขม็ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “นายไม่ต้องยุ่ง!”
สายตาของเซี่ยฉิงมองมาที่เฉินโม่อีกครั้ง แล้วถามต่อ “นายไม่ใช่สายเลือดบู๊โบราณเหรอ”
เฉินโม่ดูไม่ชอบใจเล็กน้อย เหมือนผู้หญิงคนนี้มีความคิดดันทุรัง