Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1634 โสมสมบัติแปดวิญญาณ

ตอนที่ 1634 โสมสมบัติแปดวิญญาณ
ดวงตาซุ่นจี้เบิกกว้างจ้องเขม็ง ลมหายใจหอบหนัก จับจ้องแผนภาพเก้าวังไม่พูดไม่จา
การประชันหมากครั้งนี้ เขาวางเดิมพันเป็นสมบัติกึ่งจักรพรรดิชิ้นหนึ่งที่ได้มาจากสนามรบ ที่สำคัญคือมันสมบูรณ์ไร้รอยบุบ หายากอย่างยิ่ง
ถ้าหากแพ้ สมบัติชิ้นนี้ก็จะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว
“เหล่าซุ่น ยอมแพ้ซะเถิด เคยเตือนเจ้าไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง อยากได้ ‘น้ำยาแกนเทพเก้าเร้น’ ของเจ้าเฒ่าหลิงเซียวจื่อนี่ ไม่ใช่จะเอาชนะได้ง่ายๆ”
“น้ำยาแกนเทพเก้าเร้นเป็นถึงสมบัติล้ำค่าชั้นนำในใต้หล้า ถึงจะไม่ได้มีประโยชน์มากเท่าไหร่กับพวกเรากึ่งจักรพรรดิ แต่ถ้าใช้ในระดับมหาอริยะ กลับสามารถเป็นประโยชน์ด้าน ‘หลอมรวมฐานมรรค หล่อหลอมสภาวะจิต’ ทุกๆ หยดล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้”
“เหล่าซุ่น ทุกคนต่างรู้ว่าเจ้าอยากหาของดีให้หลานชายตัวเอง แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจฝืนดึงดันได้”
พวกกึ่งจักรพรรดิแถวนั้นพากันเอ่ยปากเตือน
“ผู้อาวุโส กระดานนี้ท่านไม่มีหวังชนะแน่ๆ แล้ว”
หลินสวินเองก็อดเอ่ยปากไม่ได้เช่นกัน
ซุ่นจี้เงยหน้า กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่งเอ๊ย เด็กน้อยอย่างเจ้าเห็นข้าขายหน้ายังไม่พอ ยังมาเตือนว่าข้าจะแพ้อีก ไม่สะเทือนศีลธรรมในใจบ้างเรอะ”
หลินสวินตั้งท่าจะพูดอะไร ซุ่นจี้ก็ส่งเสียงทอดถอนใจยาว “เอาเถิดๆๆ ข้ายอมแพ้ก็ได้ ตาเฒ่าอย่างพวกเจ้าไปแบ่งเงินเดิมพันกันได้แล้ว”
กึ่งจักรพรรดิเหล่านั้นส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เริ่มแบ่งเงินเดิมพันกับหลิงเซียวจื่อ
แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เดิมพันฝั่งซุ่นจี้พวกนั้น แต่ละคนต่างมองหน้ากัน เศร้าใจไม่หาย
ซุ่นจี้ขมวดคิ้วกล่าว “พวกเจ้าอย่าทำหน้าหมดหวังสิ อีกเดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่ รับรองว่าจะจัดการหลิงเซียวจื่อให้ฉี่ราดหางจุกตูด ร่ำไห้ร้องหาบิดามารดาไปเลย!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นต่างพากันกลอกตา ทำท่าประหนึ่งว่า ‘ใครเชื่อคนกระจอกหมากเน่าเช่นเจ้าอีกก็โง่เง่าแล้ว’
สีหน้าซุ่นจี้เองก็กระอักกระอ่วนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่เขาเดินหมากกับหลิงเซียวจื่อก็มักจะแพ้หมดสภาพ อับอายขายขี้หน้ายิ่งอย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ตอนที่ซุ่นจี้ตั้งท่าจะออกไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ไม่ทราบผู้น้อยสามารถเดินหมากกับผู้อาวุโสได้หรือไม่”
เป็นหลินสวิน เขาเดินไปอยู่ฝั่งตรงข้ามหลิงเซียวจื่อแล้วประสานมือเอ่ยถาม
สัตว์ประหลาดเฒ่าที่แบ่งเดิมพันเสร็จและตั้งท่าเตรียมจากไปอย่างชื่นมื่นเหล่านั้น เวลานี้ล้วนอึ้งงันอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าหนูนี่ถึงกับอยากเดินหมากกับหลิงเซียวจื่อหรือ
ในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดินี้ ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าเฒ่าอย่างหลิงเซียวจื่อไม่มีฝีมือด้านอื่น มีเพียงวิถีลายมรรคอย่างเดียว แต่กลับโดดเด่นเหนือใคร สามารถผงาดท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษ
“เหล่าซุ่น เจ้าหนูนี่คือคนที่เจ้าพาเข้าเมืองกระมัง ช่างเป็นลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือซะจริงๆ ฮ่าๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าใจกล้าน่ายกย่องทีเดียว”
มีคนหัวเราะขึ้นมา ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
“ใจกล้าน่ายกย่อง? ข้าดูแล้วเป็นพวกไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำต่างหาก!”
มีคนขมวดคิ้วกล่าว “ปราณระดับอริยะแล้วยังวู่วามขาดสติปานนี้อยู่อีก ต่อไปคงก่อภัยใหญ่ขึ้นเป็นแน่”
“เอาล่ะๆ ใครบ้างไม่เคยผ่านวัยเยาวว์มาก่อน เจ้าเฒ่าอย่างพวกเจ้าอย่าลดตัวลงมาถือสาเอาความคนรุ่นหลังคนหนึ่งเลนย”
มีคนไกล่เกลี่ยสถานการณ์
สรุปแล้วสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดและข้องใจ แต่ก็ไม่ได้เผยทีท่ามุ่งร้ายอะไรออกมา
“เหล่าซุ่น รีบพาเจ้าหนูนี่ออกไปเถอะ ต่อไปรอให้บรรลุเป็นกึ่งจักรพรรดิก่อนค่อยมาเดินหมากกับหลิงเซียวจื่อก็ยังไม่สาย”
มีคนกล่าวกลั้วหัวเราะ
ซุ่นจี้เองก็อึ้งไปพักหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ชี้ไปยังหลินสวินแล้วส่ายหน้ากล่าวขำๆ ว่า “เจ้านี่นะ ก่อความวุ่นวายเพิ่มอะไรตอนนี้ ไปๆๆ รีบออกไปจากที่นี่เร็ว เลี่ยงไม่ให้ถูกเจ้าเฒ่าเหล่านี้หัวเราะเยาะเอา”
กล่าวพลางเขาก็หมายจะคว้าไหล่หลินสวิน
ตั้งแต่ต้นจนจบหลิงเซียวจื่อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น อมยิ้มบางๆ ดูสบายอกสบายใจ จากสถานะของเขา ยังไม่ถึงขั้นต้องไปถือสาเอาความกับผู้น้อยอย่างหลินสวิน
“ผู้อาวุโส หรือท่านไม่อยากได้น้ำยาแกนเทพเก้าเร้นแล้ว”
แต่ในเวลานี้เอง ประโยคเดียวของหลินสวินก็ทำให้การเคลื่อนไหวของซุ่นจี้ชะงักค้าง เบิกตากว้างกล่าวว่า “เจ้าหนู เจ้าว่าอะไรนะ”
หลินสวินเอ่ยปากพูดโดยไม่หยุดคิด “ข้าบอกว่าข้าอยากลองดูสักครั้ง ช่วยท่านเอาชนะแลกน้ำยาแกนเทพเก้าเร้นมา”
เขาสนใจการประชันหมากเก้าวังเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกดีใจเหมือนได้เห็นเหยื่อ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการต่อสู้ในวิถีลายมรรค เป็นวิถีที่เขาสัมผัสมาตั้งแต่ยังเด็ก ซึมซับเข้าสู่เลือดเนื้อร่างกายนานแล้ว
“ชนะ?”
ซุ่นจี้แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง หากไม่ใช่เพราะหลินสวินมีสีหน้าจริงจัง ดูไม่เหมือนพูดเล่น เขาคงแทบถลกแขนเสื้อพุ่งเข้าไปแล้ว
ล้อเล่นอะไรกัน ขนาดเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงเซียวจื่อ เจ้าหนูน้อยอย่างหลินสวินจะเอาอะไรไปเดินหมากกับหลิงเซียวจื่อได้
กล่าวแบบไม่เกินจริง ทั้งนอกในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิแห่งนี้ คนที่สามารถเดินหมากเอาชนะหลิงเซียวจื่อได้ ตอนนี้ยังไม่เคยปรากฏตัวเลย!
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ แถวนั้นต่างมีสีหน้าแปลกพิกล รู้สึกเหมือนกับซุ่นจี้
หากก่อนหน้านี้ คำประเมินที่พวกเขามีต่อหลินสวินคือไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เช่นนั้นตอนนี้ก็ต้องเป็นพวกไม่รู้รุกรู้ถอย ไม่รู้จักชั่วดี
จากฐานะของทุกคนในลานนี้ ย่อมไม่หาเรื่องเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าหนูน้อยคนนี้ไม่รู้รุกรู้หลีก ก็จะทำให้ผู้คนไม่อภิรมย์ยิ่ง
“เจ้าหนุ่ม เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะประชันหมาก”
มีคนอดถามไม่ได้
หลินสวินพยักหน้า “แน่นอน”
พวกคนใหญ่คนโตไม่น้อยเห็นเช่นนี้ล้วนอดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้าหนูนี่… ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาซะจริงๆ
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าประชันหมากกับหลิงเซียวจื่อจำเป็นต้องมีของเดิมพัน”
สตรีชุดม่วงรูปโฉมงดงามอรชรคนหนึ่งเอ่ยเสียงนุ่ม “เหมือนอย่างซุ่นจี้ เมื่อครู่ก็เอาสมบัติชิ้นหนึ่งออกมาเป็นของเดิมพัน หากชนะก็จะได้น้ำยาแกนเทพเก้าเร้นไปได้ หากแพ้ สมบัติที่นำมาเดิมพันก็จะตกเป็นของหลิงเซียวจื่อ”
นางหยุดไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อ “ข้าดูแล้วเจ้าน่าจะอายุเท่าหลานชายข้า นิสัยเนื้อแท้ก็ไม่ได้เลวร้าย ในฐานะผู้อาวุโสก็อยากเตือนเจ้าว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์ แพ้ไปไม่สำคัญ แต่ถ้าหากสูญเสียสมบัติไป นั่นก็ไม่คุ้มกันเลย”
หลินสวินประสานมือกล่าว “ผู้อาวุโสวางใจเถิด ข้าย่อมรู้เหมาะรู้ควร”
สตรีชุดม่วงเห็นเช่นนี้ก็หมดใจ ไม่เอ่ยเตือนอีก
และมีคนส่งเสียงหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อเจ้าอยากประชันหมาก เช่นนั้นก็เอาสมบัติออกมาหนึ่งชิ้น ให้ทุกคนได้ดูกันว่าจะมีคุณสมบัติไปประชันหมากกับหลิงเซียวจื่อหรือไม่”
หลินสวินพยักหน้าอย่างเบิกบาน เมื่อพลิกฝ่ามือ โอสถเทพต้นหนึ่งก็ปรากฏ…
สีทองอร่ามทั้งต้น งอกใบไม้หลากสีไม่ซ้ำกันแปดใบ แต่ละใบล้วนสะท้อนร่างวิญญาณที่มีชีวิตชีวาหนึ่งแบบ มีกิเลนเพลิงแดง ผีซิวน้ำเงินเข้ม หงส์หิรัณย์สีเขียว ซวนหนีสีม่วง…
ลักษณ์มายาวิญญาณทั้งหมดแปดชนิด ปกป้องโสมสีทองต้นนี้ ละอองแสงสาดพรม กลิ่นโอสถหอมเข้มข้น คล้ายสามารถแทรกซึมเข้ากระดูกของผู้คนได้
โสมสมบัติแปดวิญญาณ!
โอสถนี้หลินสวินเก็บมาจากสมรภูมิเซียนเหิน และเช่นเดียวกับเถาวัลย์หยกนภาค่ำ ต่างก็เป็นสมบัติตามธรรมชาติชั้นเลิศ
ครู่เดียวสัตว์ประหลาดเฒ่าทั่วลานล้วนมีสีหน้าแปลกไป นัยน์ตาทอประกายลุกวาว สมบัติชั้นดีนี่!
จากประสบการณ์และปราณของพวกเขา ย่อมสามารถระบุได้ในพริบตาว่าโอสถนี้หายากและล้ำค่าไม่ด้อยไปกว่าน้ำยาแกนเทพเก้าเร้นอย่างแน่นอน
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนูนี่จะถือครองสมบัติล้ำค่าระดับนี้ด้วย” มีคนพึมพำ ค่อนข้างแปลกใจทีเดียว
และก็มีคนดวงตาลุกวาว ร้องว่า “พอแล้วๆ หลิงเซียวจื่อ สมบัติที่เจ้าหนูนี่เอาออกมาเพียงพอจะประชันหมากกับเจ้าแล้ว ข้าวางเดินพันก่อน พนันโสมราชันแปดวิญญาณชิ้นนี้แหละ!”
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นโลก และไม่ใช่หน้าด้านหน้าทนอยากไปแย่งชิงของของคนรุ่นหลังคนหนึ่ง แต่เพราะความจริงแล้วสมบัตินี้หายากเกินไป!
แววตาหลิงเซียวจื่อวูบไหว สุดท้ายก็พยักหน้าบาๆ “ได้”
เพียงแต่ซุ่นจี้กลับลนลานยกใหญ่ กล่าวว่า “เจ้าหนู ไม่ได้เด็ดขาด! สมบัติระดับนี้หากแพ้เสียไป นั่นเท่ากับต้องการแค่ไหนก็ไม่ได้กลับคืนเชียวนะ จงฟังข้า อย่าเล่นกับเจ้าเฒ่าพวกนี้ พวกเขาแทบอยากให้เจ้าแพ้และเสียสมบัติชิ้นนี้ไปจนจะทนไม่ไหว”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส โอสถเทพต้นเดียวก็แค่ของนอกกายเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทันประชันหมากเลย เหตุใดท่านถึงรู้ว่าข้าต้องแพ้แน่ๆ”
บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าถึงแม้ค่อนข่างกระเหี้ยนกระหือรือต่อโสมสมบัติแปดวิญญาณ แต่พอได้ยินประโยคนี้ของหลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้าหนูนี่บ้าดีเดือดได้ที่จริงๆ!
และเวลานี้หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้นแล้ว วางโสมสมบัติแปดวิญญาณไว้ด้านข้าง สายตามองตรงไปที่หลิงเซียวจื่อ “ผู้อาวุโส เชิญชี้แนะด้วย”
เห็นเช่นนี้ซุ่นจี้ก็ถอนใจยาว รู้ว่าห้ามเจ้าหนูที่รั้นชนกำแพงไม่ยอมเหลียวหลังคนนี้ไม่อยู่แล้ว
หลิงเซียวจื่อกล่าวเรียบๆ “เจ้าหนุ่ม หากเจ้าสนใจศึกษามรรคสลักวิญญาณ ตอนว่างๆ ข้าสามารถชี้แนะให้เจ้าได้อยู่บ้าง เลี่ยงไม่ให้เจ้าเดินผิดทาง แต่ประชันหมากเก้าวังต่างออกไป ในเมื่อเป็นการประชันหมาก ย่อมต้องยุติธรรม ข้าคงไม่อาจปรานีใดๆ เจ้าไตร่ตรองแน่ชัดแล้วหรือ”
ประโยคนี้เจือราศีของผู้อยู่เหนือกว่า
หลินสวินกลับพยักหน้ากล่าวโดยไม่หยุดคิดสักนิดว่า “ย่อมเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”
หลิงเซียวจื่อมุ่นคิ้ว ถอนใจกล่าว “เอาเถิด ข้ายอมเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย เดินหมากกับเจ้าสักตา”
“ช้าก่อน รอให้พวกเราวางเดินพันก่อน!”
กึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งส่งเสียงตะโกน กล่าวพลางล้วงกระบี่เทพแสงเซียนอร่ามออกมา “ข้าพนันว่าหลิงเซียวจื่อชนะ”
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พากันวางเดิมพัน ส่วนใหญ่พนันว่าหลิงเซียวจื่อชนะทั้งสิ้น
“เฮ้อ เจ้าหนูอย่างเจ้าช่างทำให้ข้าปวดหัวซะจริง”
ซุ่นจี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เขากลับเอาสมบัติชิ้นหนึ่งออกมา เดิมพันว่าหลินสวินชนะ!
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอึ้งไป ระบายยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ข้าก็เดิมพันว่าสหายน้อยคนนี้ชนะ”
เหนือความคาดหมายของทุกคน สตรีชุดม่วงรูปงามคนนั้นก็เอาสมบัติชิ้นหนึ่งออกมา “คิดเสียว่า… เรียกขวัญกำลังใจให้สหายน้อยแล้วกัน”
หลินสวินประสานมือคารวะ ในใจกลับจดจำน้ำใจนี้เอาไว้แล้ว
ไม่นานในลานก็มีกองสมบัติมากมาย ล้วนมีลักษณะเหนือธรรมดา สาดแสงเรื่อเรืองพร่างพราว วิจิตรตระการตา
สมบัติที่กึ่งจักรพรรดิและราชันอริยะนำออกมา มีหรือจะเป็นของธรรมดาทั่วไป
ภาพเหตุการณ์นี้หากถูกพวกอริยะแท้คนอื่นเห็นเข้า ต้องปากอ้าตาค้างแน่ เรียกได้ว่าเป็นการพนันครั้งใหญ่อย่างที่สุด
แต่สำหรับสัตว์ประหลาดเฒ่าในลานพวกนั้น กลับพูดได้แค่ว่าเป็นเดิมพันเล็กน้อยเพื่อความสนุก
ยิ่งกว่านั้นในใจพวกเขาต่างตัดสินแพ้ชนะไปแล้ว คิดว่าต่อให้หลิงเซียวจื่อออมมือ ก็ต้องทำให้หลินสวินรับรู้ถึงความยากลำบากและล่าถอยไป ยอมแพ้ทั้งกายใจอย่างแน่นอน
เพียงแต่สายตาหลินสวินกวาดมองสมบัติเหล่านี้คราหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างใคร่ครวญว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้น้อยมีคำขอเกินตัวข้อหนึ่ง หากผู้น้อยชนะ ก็ไม่ต้องการสมบัติเหล่านี้ ขอเพียงผู้อาวุโสทุกท่านถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้รับตอนทะลวงระดับมหาอริยะให้แก่ผู้น้อยก็พอแล้ว”
ทุกคนอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็ต่างมีสีหน้าแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหนูนี่… ถึงขนาดคิดว่าจะเอาชนะได้จริงๆ หรือ
หลิงเซียวจื่อได้ยินเช่นนี้ยังอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ ในใจกรุ่นโกรธ อายุน้อยนิด ถึงกับจองหองลำพองตนเช่นนี้ ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแล้วชัดๆ
“ได้ ข้ารับปากเจ้า”
คนใหญ่คนโตคนหนึ่งตกปากรับคำ เพียงแต่เจือแววเย้ยหยัน “ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าจะชนะได้อย่างไร!”
คนอื่นๆ ก็ให้คำมั่นตามๆ กัน แค่ประสบการณ์นิดหน่อยยามบรรลุระดับมหาอริยะเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับมรดกวิชา พวกเขาย่อมไม่ใส่ใจหากต้องเผยออกมา
เพียงแต่ พวกเขาไม่คิดว่าหลินสวินจะชนะได้จริงๆ!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท