กู้ชูหลานตวาดลั่น “แล้วเงินสองแสนตำลึงของข้าล่ะ กู้ชูหน่วน เจ้าเอาเงินสองแสนตำลึงของข้ามาคืนมานะ”
“ทำไม หรือว่าเจ้าคิดจะคืนคำ ข้ายังเก็บหลักฐานลายลักษณ์อักษรทั้งหมดเอาไว้ ต่อไปถ้าไม่มีเงินพนันก็อย่าพนัน แพ้อย่างนี้ ชิชะ มันน่าเกลียดเกินไป”
“นั่นเป็นเงินที่ท่านตาของข้าให้มา เจ้าต้องคืนให้ข้า”
“ได้สิ เจ้าจะลองไปฟ้องดูก็ได้ ขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะคืนให้เจ้าทันที”
“ท่านพ่อ…”
กู้ชูหลานมองอัครเสนาบดีกู้อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาและน่าสารนั้นมองกู้ชูหน่วนราวกับจะกล่าวหาว่านางเป็นนักโทษที่กระทำเรื่องชั่วร้าย
ตั้งแต่กลับมาจากวัดร้าง กู้ชูหน่วนก็ทำให้นางต้องเสียหน้าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นางไม่สนอีกแล้ว นางเพียงแต่อยากได้เงินสองแสนตำลึงคืนมา เงินเหล่านี้เป็นเงินที่พวกนางสองแม่ลูกหวังจะใช้ในช่วงชีวิตที่เหลือ
“เจ้ามันอกตัญญู ข้าไม่เชื่อหรอก วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำ ใครก็ได้มานี่ ใช้กฎหมายครอบครัว ข้าจะโบยนางให้ตายทั้งเป็น”
“ใครกล้าโบยพระชายาหานของข้าให้ตายทั้งเป็นงั้นหรือ”
ทันใดนั้นเสียงอันทุ้มต่ำน่าฟังก็ดังขึ้นมา
เสียงเปิดประตูดังตามมา ประตูใหญ่ถูกผลักออกอย่างแรง
ดวงตาที่ลุ่มลึกกลุ่มหนึ่งมุ่งเข้ามาจากข้างนอก เป็นองครักษ์ที่มีกลิ่นอายของความหนาวเหน็บ
องครักษ์เหล่านี้ก้าวเข้ามาและยืนเรียงสองแถวที่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ คอยต้อนรับบุคคลซึ่งโดดเด่นเป็นสง่า
ทุกคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
ไม่มองก็ไม่เป็นไร แต่พอมองแล้วทุกคนก็อดตกใจกลัวไม่ได้
นึกไม่ถึงเลยว่าผู้มาเยือนจะเป็น… ท่านหานอ๋องเทพเจ้าแห่งสงคราม…
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ภาพที่เห็นคือเทพเจ้าแห่งสงครามนั่งอยู่บนรถเข็นโดยอาศัยคนหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งเข็นเข้ามา ดูเป็นฉากที่อลังการไม่น้อย
เทพเจ้าแห่งสงครามสวมหน้ากากผีเอาไว้จึงมองไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่ารอบๆ กายกลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
อัครเสนาบดีกู้ตกใจมากจนเลือดในกายแทบจะแข็งตัว แข้งขาของเขาอ่อนฮวบ เขาคุกเข่าลงและตะโกนเสียงดัง
“กระหม่อมคารวะท่านหานอ๋อง ขอท่านอ๋องอายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
ทุกคนในจวนอัครเสนาบดีต่างตื่นตระหนกและคุกเข่าลงเสียงดัง ภายในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ไม่ใช่ว่าท่านเทพแห่งสงครามป่วยหนักเกินจะเยียวยาและไปไหนมาไหนแทบไม่ได้แล้วงั้นหรือ เหตุใดอยู่ๆ จึงให้เกียรติมายังจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้
เขาหมายความว่าอย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการจะช่วยกู้ชูหน่วน
การได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับกู้ชูหน่วนเป็นเรื่องที่ทำให้เขาอับอาย แล้วเหตุใดเขาจะต้องมาช่วยกู้ชูหน่วนด้วย
เสียงของอัครเสนาบดีกู้สั่นเล็กน้อย เขาเดาไม่ออกเลยว่าเทพเจ้าแห่งสงครามหมายความเช่นไร “ท่านอ๋อง กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น… กระหม่อมเพียงแค่… เพียงขู่ด้วยวาจาเท่านั้น”
“ขู่พระชายาของข้าน่ะหรือ”
คำพูดของเยี่ยจิ่งหานยาวขึ้นเล็กน้อยและมีความหมายบางอย่าง นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นกวาดมองไปทางกู้ชูหน่วนราวกับกำลังยิ้ม ประหนึ่งจะมองกู้ชูหน่วนให้ทะลุปรุโปร่ง
อัครเสนาบดีกู้หวาดกลัวจนเหงื่อผุดพราย
เขาเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักมานานและค่อนข้างเข้าใจความหมายในคำพูดของเทพแห่งสงคราม
เขากำลังช่วยกู้ชูหน่วน
ถึงแม้จะไม่ใช่ แต่กู้ชูหน่วนก็เป็นพระชายาของเขา เขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นมาหยามง่ายๆ
อัครเสนาบดีกู้ปาดเหงื่อและเอ่ยเสียงสั่นว่า “กระหม่อมมิกล้า…”
กู้ชูหน่วนลูบหน้าผากตัวเอง
แทบอยากจะมุดดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น
ทุกคนคุกเข่ากันหมด หรือว่านางจะต้องคุกเข่าด้วย?