Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1646 กึ่งจักรพรรดิประจันหน้า

ตอนที่ 1646 กึ่งจักรพรรดิประจันหน้า
บนรถศึกผสานคราม นักพรตชิวท่าทีแข็งกระด้าง
หลังเงียบไปครู่หนึ่งหลิงเซียวจื่อก็กล่าวขึ้นว่า “แค่การต่อสู้ของพวกเด็กๆ หากคนเฒ่าเช่นเจ้านักพรตชิวยื่นมือเข้าแทรก จะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
นักพรตชิวกล่าวเย็นชา “ข้าไม่ได้มาเพื่ออธิบายเหตุผล หากพวกเจ้าอยากขัดขวาง ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
กล่าวง่ายๆ คือเขามุ่งหน้ามาครั้งนี้ ไม่คิดจะพูดคุยเหตุผลสักนิด!
พวกหลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้สีหน้าขรึมลงทันที แต่บุตรนรกที่ยืนบนรถศึกผสานครามกลับยิ้ม ยิ้มอย่างลำพองหาใดเปรียบ
จิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือแล้วอย่างไร
ขอแค่ได้แก้แค้น ใครจะไปสนใจเรื่องพวกนี้กัน
ถ้าพวกเจ้ามีปัญญา ก็ลองมาแอบอ้างบารมีเสือให้ข้าดูสิ
“หลีกไป!”
เสียงนักพรตชิวเย็นเยียบ สองคำสั้นๆ อานุภาพบีบคั้นผู้คน
เป็นกึ่งจักรพรรดิเหมือนกัน แต่ก็มีแบ่งแข็งแกร่งอ่อนแอ อย่างเช่นกู่เหลียงฉวี่ก็ถูกยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ
ส่วนพลังต่อสู้ของนักพรตชิวสามารถไต่เต้าขึ้นสู่สิบอันดับแรกในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ อานุภาพของเขาย่อมไม่เล็กจ้อยอย่างแน่นอน
บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง
ท่าทีของนักพรตชิวไหนเลยจะแค่แข็งกระด้าง แต่ถึงขั้นไม่เห็นพวกเขาในสายตาด้วยซ้ำ!
“ไม่คุยเหตุผล ใช้กำลังรังแกผู้อื่นหรือ ได้ เจ้าอยากลงมือ ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า!”
ซุ่นจี้เดือดดาลสุดขีด
ตูม!
เพิ่งสิ้นเสียง นักพรตชิวโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ฟ้าดินสะเทือนเลื่อนลั่น หมื่นชีวิตเปลี่ยนสี แสงดาบคมกริบพุ่งยิงออกมา ฟาดฟันลงกลางอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดพล่ามทำเพลงสักนิด เจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็จะสนองเจ้า!
ภายใต้เสียงดังกระหึ่มสะเทือนหู ร่างของซุ่นจี้โคลงเคลงรุนแรง โซซัดโซเซถอยออกไปหลายก้าว แต่ละก้าวที่เหยียบย่าง ห้วงอากาศล้วนทรุดทลาย
ยามเมื่อเขาทรงตัวมั่น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวแล้ว
อานุภาพดาบเดียวถึงกับน่าสะพรึงปานนี้!
บรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าต่างหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ว่านักพรตชิวคนนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะจัดการหลินสวินชัดๆ ขนาดซุ่นจี้ยังไม่ไว้หน้า
“เข้ามาอีก!”
ซุ่นจี้สีหน้าคล้ำเขียว ตั้งท่าจะพุ่งขึ้นไป แต่กลับถูกหลิงเซียวจื่อขวางไว้ กล่าวว่า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ข้าไปดีกว่า”
หลิงเซียวจื่อย่างเท้าก้าวออกไป สีหน้าแน่วนิ่งไม่ไหวติง สายตาจับจ้องนักพรตชิวแล้วกล่าวใบหน้าไร้ความรู้สึก “ภายในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิห้ามต่อสู้ แต่เจ้านักพรตชิวหากคิดจะไม่สนอะไรทั้งสิ้น เช่นนั้นข้าหลิงเซียวจื่อก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ดวงตานักพรตชิวหดรัดลงเล็กน้อย “หลิงเซียวจื่อ เจ้าน่าจะรู้ดี ข้ามาคราวนี้ไม่ใช่เพราะตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ขอแค่ส่งตัวหลินสวินนั่นมา ข้าก็จะไปทันที”
หลิงเซียวจื่อเป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ หลายปีมานี้สร้างผลงานเนืองแน่น พลังต่อสู้ของเขาอาจธรรมดาทั่วไป แต่กลับเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้
ขนาดกู่เหลียงฉวี่ยังต้องให้ความเคารพสามส่วน!
“ฝันเฟื่องเพ้อพก!”
ท่าทีหลิงเซียวจื่อแข็งกระด้าง ไม่ยอมถอยสักนิด
“เจ้าเฒ่า นี่เจ้าอยากเป็นศัตรูกับพวกเราให้ได้เลยหรือ”
บุตรนรกทนดูต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงตะโกนออกมา
นี่ทำเอาพวกซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ต่างสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมา แค่คนรุ่นหลังคนหนึ่ง คิดว่าไปหานักพรตชิวใหม่มาเป็นผู้หนุนหลังแล้วจะพูดจาหยาบคาบปีนเกลียวได้แล้วหรือ
นักพรตชิวเองก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ตำหนิบุตรนรก “หลิงเซียวจื่อเป็นผู้อาวุโสของกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ สร้างคุณูปการมากมาย เจ้าจะเสียมารยาทไม่ได้”
กล่าวพลางเขาทอดสายตามองหลิงเซียวจื่อ “ครั้งนี้ข้ามาเพราะรับคำสั่งของใต้เท้ากู่เหลียงฉวี่ หากเจ้าหลิงเซียวจื่อขัดขวาง นั่นเท่ากับไม่ไว้หน้าใต้เท้ากู่เหลียงฉวี่”
เขานำป้ายคำสั่งหยกดำออกมา “หากเจ้าไม่เชื่อก็ดูป้ายนี่”
วู้ม!
ป้ายคำสั่งเรืองแสง ปรากฏเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่ง สวมชุดผ้าป่าน ผมยาวรุงรัง ใบหน้าหนักแน่นมั่นคง ดวงตาคู่นั้นลุ่มลึกปานมหาสมุทรไพศาล
พวกหลิงเซียวจื่อแววตานิ่งขึง บุรุษชุดผ้าป่านคนนี้ก็คืออันดับหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ กู่เหลียงฉวี่!
วู้ม…
เมื่อนักพรตชิวเก็บป้ายคำสั่ง เงามายาของกู่เหลียงฉวี่ก็อันตรธานหายไปด้วย
เพียงแต่สีหน้าของพวกหลิงเซียวจื่อมืดทะมึนอย่างยิ่ง
เพื่อจัดการเด็กคนหนึ่ง ไม่เพียงนักพรตชิวออกโรง แม้แต่กู่เหลียงฉวี่ยังก้าวออกมา นี่เห็นได้ชัดว่าข่มเหงรังแกกันนัก!
บรรยากาศกดดัน
ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่ากู่เหลียงฉวี่ อันดับหนึ่งแห่งกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิที่สูงส่ง ถึงกับควักป้ายคำสั่งของตนออกมาเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
“เหอะๆ”
บุตรนรกหัวเราะเย็นชาขึ้นมา
ทั้งหมดนี้เดิมก็เป็นไปตามที่เขาคาด เขารู้ชัดแต่ต้นว่ามีสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้อยู่ ต่อให้นักพรตชิวออกหน้าก็ยากจะไปจัดการหลินสวิน
ดังนั้นจึงบากบั่นไม่เสียดาย ร้องขอจนได้ป้ายคำสั่งของกู่เหลียงฉวี่มา ที่ทำไปก็เพื่อข่มขวัญเจ้าเฒ่าพวกนี้ให้ไม่กล้ากางปีกปกป้องหลินสวินอีก!
“หลินสวินอยู่ไหน ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”
และเวลานี้เองจู่ๆ นักพรตชิวก็ตะโกนดังสนั่น เสียงดุจฟ้าคำราค์ สะเทือนทั่วสิบทิศ ก้องสะท้อนวนเวียนภายใต้แสงแดดกล้า
ชั่วขณะเดียวทั้งด่านตะวันที่แสนกว้างใหญ่ถูกทำให้แตกตื่น สัตว์ประหลาดเฒ่ามากมายที่ประจำการอยู่ในนั้นต่างตื่นตระหนก
หลิงเซียวจื่อเอ่ยอย่างเดือดดาล “นักพรตชิว เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว! ต่อให้กู่เหลียงฉวี่มาเองก็ไม่กล้าสามหาวเช่นเจ้าปานนี้!”
คนอื่นก็ๆ บันดาลโทสะ สีหน้ามืดทะมึนดุจกระแสน้ำ
กลับเห็นนักพรตชิวกล่าวเสียงเรียบ “ทุกท่าน ข้าเพียงแค่รับคำสั่งมาจัดการธุระ หากล่วงเกินประการใด ภายหน้าจะชดใช้คืนให้อย่างแน่นอน”
“หลินสวิน เจ้าเป็นเต่าหดหัวในกระดองรึ รีบไสหัวออกมา!”
พร้อมกันนั้นบุตรนรกก็คำรามลั่น มั่นใจไร้กังวล ราวกับคนรอบข้างไร้ตัวตน ไม่สนใจความเดือดดาลของพวกหลิงเซียวจื่อสักนิด
ชั่วขณะเดียวกลิ่นอายผู้แข็งแกร่งในด่านตะวันต่างมุ่งความสนใจมาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“นักพรตชิว!”
หลิงเซียวจื่อเดือดอย่างสิ้นเชิงแล้ว ผมเคราปลิวสะบัด ชี้นักพรตชิวพลางกล่าว “วันนี้มีข้าอยู่ ข้าล่ะอยากดูนักว่าใครจะหาเรื่องสหายน้อยหลินสวินได้!”
ซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ก็พากันพยักหน้า
พวกเขาต่างเข้าใจว่าความเคียดแค้นระหว่างบุตรนรกกับหลินสวินล้วนเป็นการต่อสู้ของเด็กรุ่นหลัง
แต่นักพรตชิวกลับไม่สนหน้าตา พุ่งเข้ามาหมายจะจัดการหลินสวินใต้จมูกพวกเขา มีหรือพวกเขาจะยอมทน
นักพรตชิวอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าเฒ่าเหล่านี้จะยืนกรานปานนี้
เท่าที่เขารู้มาทั้งหมด หลินสวินเป็นเพียงคนหนุ่มที่เพิ่งมาถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิได้ไม่นาน และไม่ได้เป็นทายาทสายตรงขุมอำนาจใหญ่อะไร ยิ่งไม่มี่ความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกหลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้เลยด้วยซ้ำ
เดิมทีการจัดการคนรุ่นหลังเช่นนี้คนหนึ่งเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่ไหนเลยจะคิดว่ากลับพบเจออุปสรรคกีดขวางมากมายปานนี้
นักพรตชิวนิ่งเงียบครู่หนึ่งค่อยเอ่ยว่า “ทุกท่านวางใจ ครั้งนี้ข้าจะไม่ลงมือถึงตาย ขอเพียงหลินสวินนั่นมอบของที่ชิงไปจากมือบุตรนรกออกมาและกล่าวขอโทษบุตรนรก ข้าย่อมถือว่าแล้วกันไป”
นี่เป็นการยอมถอยของเขาแล้ว!
แต่บุตรนรกกลับไม่พอใจ กล่าวว่า “ข้าอยากให้หลินสวินตาย! ถ้าเขาไม่ตาย ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
‘วางใจ ต่อไปยังมีโอกาส ครั้งนี้ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าเฒ่าพวกนี้จะเข้าข้างคนรุ่นหลังคนหนึ่งได้ถึงปานนี้ หากหักหน้าพวกเขา เรื่องวันนี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นผลที่ตามมาล้วนไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น’
นักพรตชิวรีบสื่อจิตอย่างรวดเร็ว
สีหน้าบุตรนรกแปรเปลี่ยนไม่นิ่ง ครู่ใหญ่กว่าจะกัดฟันกล่าว “ได้ ข้าตกลง! แต่ว่าข้าต้องการให้หลินสวินคุกเข่าขอโทษ!”
นักพรตชิวตกปากรับคำทันที
ให้คนรุ่นหลังคนหนึ่งคุกเข่าเท่านั้น ขอแค่ขับเคลื่อนความคิดก็สามารถกำราบเขาลงกับพื้นได้แล้ว ง่ายดายยิ่ง
แต่ได้ยินข้อเสนอของนักพรตชิวแล้ว พวกหลิงเซียวจื่อยิ่งเดือดเข้าไปใหญ่ คืนทรัพย์หลังศึกก็ช่างเถิด ยังต้องการให้หลินสวินขอโทษอีก
ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องขบขันปานนี้
สวบ!
และเวลานี้เอง ไกลออกไปจู่ๆ ก็ปรากฏแสงเคลื่อนสายหนึ่งแหวกอากาศมาเยือน
เมื่อมองอย่างละเอียด นั่นเป็นเงาร่างของหลินสวิน!
ก่อนหน้านี้เขากำลังฝึกปราณในตำหนัก กลับถูกเสียงของนักพรตชิวทำเอาสะดุ้งตื่นขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เปี่ยมแววมุ่งร้าย ได้ใจนั่นของบุตรนรกอีก ทำให้เขาตระหนักได้ในพริบตา
การแก้แค้นของ ‘เด็กแจกทรัพย์’ มาเยือนแล้ว!
ที่นี่เป็นถึงด่านตะวัน มีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าประจำการ แต่บุตรนรกกลับกล้าแหกปากเสียงดังอย่างเหิมเกริมไร้กังวลเช่นนี้ มั่นใจได้ว่าเขาต้องมีที่พึ่งแน่นอน
หลินสวินแทบไม่ได้ใคร่ครวญใดๆ ก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายออกโรงเอง
ง่ายดายยิ่ง เพราะเขาไม่อาจทำให้พวกหลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้ต้องมาพัวพันเรื่องนี้ด้วย อย่างไรสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นความแค้นระหว่างเขากับบุตรนรก
ดังคาด ไม่ทันไรหลินสวินก็มองเห็นรถศึกผสานครามคันนั้น รวมถึงนักพรตชิวและบุตรนรกที่ยืนตระหง่านบนรถศึกมาแต่ไกล
“หลินสวิน ในที่สุดเจ้าก็กล้าโผล่หัวมาแล้ว!”
จังหวะที่ได้เห็นหลินสวิน แค้นเก่าแค้นใหม่พากันทะลักสู่กลางใจบุตรนรก ทำเอาสีหน้าบิดเบี้ยว ร้องตะโกนขึ้นมา “ครั้งนี้เหนือฟ้าใต้พิภพใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
“สหายน้อย เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนเช่นนี้!”
เห็นหลินสวินเป็นฝ่ายมาปรากฏตัวตรงหน้า พวกหลิงเซียวจื่อ ซุ่นจี้ ฮูหยินมู่ต่างร้อนรนทันที หากหลินสวินซ่อนตัว เรื่องนี้สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกเขายังพอต้านไหว แต่ตอนนี้…
ไม่เหลือที่ว่างให้ถอยกลับอีกแล้ว!
“ผู้อาวุโสทุกท่าน เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะผู้น้อย ย่อมต้องให้ผู้น้อยมาจัดการเอง”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ สีหน้าเยือกเย็น “นอกจากนี้ ความหวังดีของผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้น้อยซาบซึ้งไม่สิ้น ผู้อาวุโสทุกท่านเชิญชมเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว”
ทุกคนล้วนอึ้งงัน
ฮูหยินมู่ทั้งร้อนรนทั้งไม่สบอารมณ์ กล่าวอย่างเหลืออด “สหายน้อย เจ้าเห็นพวกข้าเป็นอะไร หากปล่อยให้เจ้าถูกรังแกในด่านตะวันแห่งนี้ จะไม่เป็นการหยามหน้าพวกข้าหรือ”
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้า
ทันใดนั้นนักพรตชิวพลันระเบิดหัวเราะลั่นขึ้นมา กล่าวว่า “ทุกท่าน พวกเจ้าอย่าได้คิดเองต่างๆ นานาเลย ในเมื่อเจ้าหนูนี่กล้าออกมาก็ถือว่ามีความรับผิดชอบ ข้าย่อมไม่รังแกเขามากเกินไป ยังยึดตามประโยคนั้นเช่นเดิม มอบสมบัติออกมา ขอโทษบุตรนรก ทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนถือว่าแล้วกันไป!”
กล่าวถึงตรงนี้แววตาของเขาดุจสายฟ้า จับจ้องหลินสวินพลางกล่าว “เจ้าหนู เจ้าว่าอย่างไร”
“เหอะๆ”
หลินสวินเผยรอยยิ้มเยาะหยัน “หากให้ข้าพูด พวกเจ้าสองคน รุ่นเด็กไม่เอาไหน รุ่นแก่ยิ่งไม่เอาไหนเข้าไปใหญ่ หากคิดรอดชีวิตกลับไป ทางที่ดีก็เพลาๆ ลงหน่อย เลี่ยงไม่ให้อีกเดี๋ยวตอนที่ถูกกำราบ จะมาอ้อนวอนร่ำไห้ร้องหาบิดามารดาอีก”
พวกซุ่นจี้ หลิงเซียวจื่อ ฮูหยินมู่ต่างอึ้งงัน เจ้าหนูนี่ถูกบีบจนพล่ามออกมาแบบไม่ห่วงชีวิตแล้วหรือ
และบุตรนรกก็โกรธจนหน้ามืดทะมึน หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปน กล่าวกับนักพรตชิวว่า “ผู้อาวุโส ท่านก็เห็นแล้วว่าเจ้าสวะนี่ใกล้ตายอยู่รอมร่อยังไม่รู้สำนึก ไม่ฆ่าเขาตอนนี้ ยังต้องรออีกเมื่อไหร่”
“วางโตยิ่งซะจริงๆ!”
นักพรตชิวสีหน้าเยียบเย็น ถูกหลินสวินปีนเกลียว แทบจะชี้หน้าด่ากราดแล้ว ทำให้เขาอดเดือดดาลไม่ได้
กี่ปีมาแล้ว ขนาดกึ่งจักรพรรดิทั่วไปเห็นเขาก็ยังต้องนอบน้อม ไม่กล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย!
แต่ตอนนี้แค่คนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าท้าทายศักดิ์ศรีของเขา เห็นชัดว่าไม่รู้จักดีชั่ว!
ตูม!
กลิ่นอายไร้เทียมทานน่าสะพรึงสายหนึ่งคละคลุ้ง แผ่กว้างออกจากตัวนักพรตชิว
ยามอริยะเกรี้ยวโกรธ ก็เพียงพอจะทำให้เลือดไหลเป็นสายธาร
นับประสาอะไรกับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง
ชั่วพริบตา ฟ้าดินเมฆลมพลันผันเปลี่ยน!
…..
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท