“บางทีเขาอาจจะไม่ได้มาเพื่อชิงอันดับหนึ่งก็ได้”
กู้ชูหน่วนชะงักทันทีที่สิ้นเสียงของตนเอง นางไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจึงต้องแก้ตัวแทนเขาด้วย
“เขามาจากรัฐจ้าวซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐเยี่ยนับพันลี้ แต่เจ้ากลับบอกว่าเขาไม่ได้มาเพื่อคว้าอันดับหนึ่ง แม่สาวอัปลักษณ์ สมองเจ้าไปถูกลาตัวไหนเตะมาหรือ”
“พูดอะไรอย่างนั้น” กู้ชูหน่วนหันไปมองเขา
เซี่ยวอวี่เซวียนบ่นพึมพำเบาๆ “น่าแปลก คราวนี้คนที่รัฐจ้าว รัฐฉู่และรัฐหวาส่งมาล้วนเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในใต้หล้าทั้งนั้น”
“หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยวอวี่เซวียนชี้ไปยังเหล่าตัวแทนที่นั่งอยู่ เขาแนะนำทีละคนว่า “นั่น เจ้าเห็นหรือไม่ สามคนที่มาจากรัฐจ้าว คนหนึ่งคือเซียนกวี ความสามารถของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วหล้า ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา ในการการชุมนุมแข่งขันวิชาการเมื่อสิบปีก่อน เขาเป็นผู้เดียวในหมู่ผู้มีความสามารถทั้งหมดที่ไม่เคยพ่ายแพ้เลย ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในรัฐจ้าวเหมือนกัน”
“ส่วนรัฐฉู่ คนหนึ่งคือปรมาจารย์หมากรุก คนหนึ่งเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาของสำนักศึกษาวังหลวงแห่งรัฐฉู่ และอีกคนคือผู้ที่สอบจอหงวนได้เป็นอันดับหนึ่งในปีนี้”
“ลองดูที่รัฐหวา ให้ตาย สามคนนั้นเป็นผู้ที่สอบจอหงวนได้สามอันดับแรกของรัฐหวามิใช่หรือ รัฐหวาจะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว เล่นเอาจอหงวนสามอันดับแรกมาหมดเลยนี่”
กู้ชูหน่วนชะโงกไปมองตัวแทนจากทั้งสามรัฐซึ่งกำลังทักทายกันและกัน ดวงตาของนางเป็นประกายคมกริบขึ้นมาแวบหนึ่งจนยากที่จะสังเกตเห็น
ก็แค่การชุมนุมวิชาการธรรมดา เหตุใดจะต้องส่งบัณฑิตที่ยอดเยี่ยมมามากมายขนาดนี้
เกรงว่าการชุมนุมแข่งขันวิชาการปีนี้คงจะมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
ที่ด้านหลังของนางมีแต่เสียงพูดคุยแสดงความเห็นของคนจากสำนักศึกษาวังหลวง
“น่าแปลกมาก ตลอดหลายปีมานี้จะเลือกคนหนุ่มสาวมาเข้าร่วมแข่งขันวิชาการมิใช่หรือ แล้วเหตุใดคราวนี้รัฐฉู่ รัฐหวาและรัฐจ้าวจึงส่งแต่คนมีชื่อเสียงมาล่ะ”
“นั่นนะซี ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าทั้งสามรัฐจะส่งผู้มีฝีมือสูงมาแบบนี้ ข้าว่ารัฐเยี่ยของเราแพ้แน่ กู้ชูหน่วนเป็นพวกหัวขี้เลื่อย เยี่ยเฟิงก็เป็นเพียงสามัญชน ส่วนเจ๋ออ๋องแม้ว่าจะเก่งแค่ไหนก็คงเทียบกับพวกเขาไม่ได้”
“แย่แล้วไง ข้าพนันข้างเจ๋ออ๋องไปหนึ่งพันตำลึง แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดี”
“ข้าเองก็เดิมพันไปสองพันตำลึง”
“เจ้าว่าพวกเขาไร้ยางอายเกินไปหรือเปล่า ขนาดจอหงวนอันดับหนึ่งของรัฐเรายังกระดากใจที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุมแข่งขันวิชาการเลย”
ทันใดนั้น ขันทีกงกงก็ร้องเสียงแหลมขึ้นมา “ฝ่าบาทเสด็จ…”
ทุกคนยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพ จากนั้นขุนนางและทุกคนในสำนักศึกษาวังหลวงจึงพากันคุกเข่าลง
“คารวะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
ทุกคนคุกเข่าลงแล้ว กู้ชูหน่วนจะไม่คุกเข่าก็ไม่ได้
แต่จะให้นางคุกเข่าให้คนอื่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นกู้ชูหน่วนจึงหมอบลงเป็นการให้เกียรติพระองค์และถือเป็นการคำนับไปด้วย
จักรพรรดิมีพระชันษาเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น พระพักตร์ของพระองค์ทั้งอ่อนเยาว์และงดงาม พระองค์สวมพระภูษาลายมังกรสีเหลืองอร่ามและนั่งลงบนบัลลังก์ด้านบน
พระองค์กวาดสายพระเนตรมองไปรอบๆ และตรัสเสียงดังว่า “ลุกขึ้นและนั่งลงเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ผู้แทนทุกคนต่างเดินทางมาไกล คงลำบากแย่” จักรพรรดิเยี่ยค่อนข้างประหลาดพระทัย ตัวแทนที่แต่ละรัฐส่งมาจะไม่อยู่ในระดับสูงเกินไปหน่อยหรือ
ทูตตัวแทนของรัฐหวาเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “พวกเรามาจากรัฐหวา ตลอดทางมานี้ได้เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาล ความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองของรัฐเยี่ย ช่างน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของตัวแทนทูตจากรัฐหวาทำให้จักรพรรดิเยี่ยอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เมฆหมอกในพระทัยเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไปจนหมด
พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์และตรัสเสียงดังขึ้นว่า “การจัดการชุมนุมวิชาการในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติของรัฐเยี่ยยิ่งนัก ดังนั้นในคราวนี้ หากผู้ใดชนะและคว้าอันดับหนึ่งมาได้ นอกจากเหนือจากทองคำห้าพันตำลึงและทรัพย์สมบัติอีกสิบสองหีบ หากเป็นชายจากรัฐเยี่ยจะได้เข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักและได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางระดับสาม หากเป็นหญิงจะได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ระดับสาม หากเป็นตัวแทนจากรัฐฉู่ รัฐหวาหรือรัฐจ้าวที่คว้าอันดับหนึ่งมาได้ คนผู้นั้นก็จะได้รับราชการในรัฐเยี่ยเช่นกัน”
ที่ด้านล่างเริ่มฮือฮา ผู้คนจำนวนมากเริ่มหันมาพูดคุยกัน
แต่งตั้งเป็นขุนนางระดับสาม… นี่มิใช่รางวัลที่ด้อยเลย
นอกจากนี้… รางวัลที่ได้มันไม่มากเกินไปหรือ
เมื่อปีก่อนๆ อย่างมากสุดรางวัลก็มีเพียงแค่ทองหนึ่งพันตำลึงและสมบัติเพียงหกหีบเท่านั้น
ไม่รอให้พวกเขาคุยกันจบ จักรพรรดิเยี่ยก็ตรัสอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้บรรยากาศภายในงานหนักอึ้งขึ้นมาทันที
“นอกจากนี้ ข้ายังจะมอบระฆังวิญญาณสะบั้นซึ่งเป็นสมบัติประจำรัฐให้คนผู้นั้น”