อึก…
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างตกตะลึง
กู้ชูหน่วนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเยี่ยเฟิงซึ่งกำลังนั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที นอกจากนี้ลมหายใจของเขายังดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
แววตาของตัวแทนหลายๆ คนจากทั้งสามรัฐเต็มไปด้วยความละโมบ
แม้แต่ปรมาจารย์หมากรุกและเซียนกวียังเลิกคิ้วเล็กน้อย
เหล่าเสนาบดีในราชสำนักของรัฐเยี่ยช่วยกันเกลี้ยกล่อมว่า “ฝ่าบาทจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ระฆังวิญญาณสะบั้นเป็นสมบัติประจำรัฐเยี่ยที่สืบทอดส่งต่อกันมาจนถึงรัชสมัยของฝ่าบาท สมบัติล้ำค่าเช่นนี้จะให้ผู้อื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอฝ่าบาททรงยกเลิกคำสั่งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมา
ตัวแทนจากทั้งสามรัฐน่าจะรู้มาก่อนแล้วว่าจักรพรรดิเยี่ยจะมอบระฆังวิญญาณสะบั้นเป็นของรางวัล ดังนั้นจึงส่งผู้มีฝีมือขั้นสูงมาเป็นตัวแทนเช่นนี้
กู้ชูหน่วนเกี่ยวมือและถามว่า “เสี่ยวเซวียนเซวียน ระฆังวิญญาณสะบั้นนั่นคืออะไรเหรอ”
“เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยหรืออย่างไร ว่ากันว่าระฆังวิญญาณสะบั้นทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ ทำให้คนมีพลังในการต่อสู้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ได้ครอบครองทั้งใต้หล้าอีกด้วย ได้ยินมาว่าในตอนที่สถาปนารัฐเยี่ย องค์จักรพรรดิก็ทรงพึ่งระฆังวิญญาณสะบั้นนี่แหละ จึงสถาปนารัฐเยี่ยขึ้นมาได้ ดังนั้นระฆังวิญญาณสะบั้นจึงกลายมาเป็นสมบัติของรัฐเยี่ยและถูกส่งต่อให้กับโอรสแห่งสวรรค์มาโดยตลอด”
กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะ
ถ้าระฆังวิญญาณสะบั้นนั่นฟื้นคืนชีพคนตายได้จริงๆ เหตุใดตลอดหลายปีมานี้โอรสแห่งสวรรค์ของรัฐเยี่ยจึงยังกลับสู่สวรรค์อยู่ตลอดเล่า
ยิ่งเรื่องครอบครองโลกทั้งใบยิ่งไม่ต้องพูดถึง
คิดๆ ดูแล้วจักรพรรดิเยี่ยก็น่าจะทรงทราบความจริงนี้เหมือนกัน บวกกับมีใครบางคนคอยเป่าหู ดังนั้นจึงตัดสินใจนำของสิ่งนี้มาเป็นรางวัลมอบให้ผู้อื่น
เป็นอย่างที่คิด จักรพรรดิเยี่ยสีมีสีพระพักตร์ไม่พอใจและตรัสอย่างทรงกริ้วว่า “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเมื่อข้าเอ่ยปากไปแล้วก็จะเป็นเช่นนั้น ผู้ใดคว้าอันดับหนึ่งมาได้ ผู้นั้นจะได้รับระฆังวิญญาณสะบั้นนี้ไป เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“ฝ่าบาท… นี่คือสมบัติที่สืบสืบทอดมาจากบรรพบุรุษนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ข้าคือจักรพรรดิแห่งรัฐเยี่ย”
ราชครูพยายามเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง ทว่าเสนาบดีที่อยู่ข้างกายรั้งเอาไว้และกระซิบว่า “ตอนนี้ทูตของทั้งสามรัฐอยู่ที่นี่กันหมด หากฝ่าบาททรงถอนคำสั่งก็จะเท่ากับว่าพระองค์ไม่มีทางรักษาพระพักตร์ไว้ได้ ทั้งสามรัฐจะยิ่งมีเหตุผลในการโจมตีรัฐเยี่ยของเรา ตอนนี้ได้แต่หวังว่าท่านเจ๋ออ๋องจะได้รับชัยชนะ”
“แต่… ตัวแทนจากทั้งสามรัฐล้วนเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านเจ๋ออ๋องจะชนะได้จริงๆ หรือ”
“ความรู้ความสามารถของเจ๋ออ๋องเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจอหงวนคนใด”
แม้ว่าจะไม่สบายใจ แต่ราชครูและคนอื่นๆ ก็จำต้องรับสภาพที่เป็นอยู่
จากนั้นการชุมนุมแข่งขันวิชาการจึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
หม่ากงกงเอ่ยเสียงดังอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ในการชุมนุมแข่งขันวิชาการครั้งนี้ แต่ละรัฐจะส่งตัวแทนทั้งหมดสามคน รวมทั้งหมดเป็นสิบสองคน โดยจะทำการจับฉลากแข่งขันเป็นคู่ มีการแข่งดีดฉิน หมากรุก กวี ประดิษฐ์อักษรและการวาดภาพ ผู้ที่แพ้จะตกรอบ จากนั้นผู้ที่เหลืออีกหกคนจะได้แข่งขันกันต่อ”
ณ ที่นั่งของตัวแทนรัฐจ้าว เสียงของอี้เฉินเฟยดังกังวานขึ้นมา เป็นเสียงที่ไพเราะชัดเจนราวกับเสียงระฆังหยก “เนื่องด้วยด้วยการชุมนุมแข่งขันวิชาการครั้งก่อนข้าเคยคว้ารางวัลชนะเลิศมาแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เข้าร่วมในครั้งนี้ ขอให้ท่านกงกงลบชื่อของข้าออกไป และข้าจะขอชมอยู่ข้างๆ ในฐานะผู้ตัดสินคนหนึ่ง”
ฮือ…
ทุกคนตกใจมาก
แน่ใจหรือว่าอี้เฉินเฟยไม่ได้พูดอะไรผิด
การชุมนุมแข่งขันวิชาการคราวนี้เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในรอบร้อยปี ไหนจะยังมีระฆังวิญญาณสะบั้นสำหรับผู้ชนะอีก เขาไม่ตื่นเต้นกับเรื่องนี้เลยหรืออย่างไร
“คุณชายอี้ แล้วมีใครจากรัฐจ้าวจะเข้ามาแทนหรือไม่”
อี้เฉินเฟยหมุนจอกเหล้าอย่างเกียจคร้านและเหลือบมองกู้ชูหน่วน บนใบหน้าฉายให้เห็นรอยยิ้มเรียบๆ ที่อ่อนโยน “ไม่จำเป็น ถ้ารัฐจ้าวจะชนะ แค่สองคนที่เหลือก็เพียงพอแล้ว”
ตัวแทนของรัฐจ้าวเป็นกังวลทว่าไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอี้เฉินเฟย พวกเขารู้สึกราวกับว่าอี้เฉินเฟยอยู่ในฐานะที่พวกเขาไม่ควรจะเข้าไปยุ่มย่าม
ณ ที่แห่งนั้น นอกจากรัฐจ้าวแล้ว ไม่มีใครอยากให้อี้เฉินเฟยเข้าร่วมการแข่งขันเลย
หม่ากงกงมองจักรพรรดิเยี่ย
จักรพรรดิเยี่ยตรัสยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อคุณชายอี้ไม่เข้าร่วมการแข่งขัน เช่นนั้นเราก็มาจับฉลากกัน ผู้ที่จับได้กระดาษเปล่าจะได้รับการยกเว้นการแข่งขันในรอบแรก”
“เริ่มจับฉลาก ขอเชิญผู้มีความสามารถทั้งสิบเอ็ดท่านมาจับฉลากได้”
กู้ชูหน่วนลูบคาง
เมื่อครู่นี้อี้เฉินเฟยยิ้มให้นางใช่ไหมนะ
ไม่รู้ว่าทำไมกู้ชูหน่วนจึงรู้สึกว่าเป็นเพราะนาง อี้เฉินเฟยจึงสละสิทธิ์ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้
[บทที่ 47แก้ไขเสร็จเรียบร้อยค่ะ ขออภัยผู้อ่านด้วยค่ะ]