เซี่ยวอวี่เซวียนล้มลง
เขาบ่นพึมพำว่า “เจ้าคงไม่ได้จะบอกข้าว่าเจ้าต้องการไปที่หอนางโลมหรอกนะ?”
“หอนางโลมใดมีทั้งหญิงงามและคณิกาพวกเราก็ไปอุดหนุนหอนั้น แน่นอนว่ารสนิยมทางเพศของข้านั้นเปกติ ระหว่างสาวงามกับหนุ่มหล่อข้าชอบหนุ่มหล่อมากกว่า”
เซี่ยวอวี่เซวียนเตือนว่า “แม่สาวอัปลักษณ์อย่าลืมว่าภายหน้าเจ้าจะเป็นพระชายาของเทพแห่งสงคราม หากเทพแห่งสงครามรู้ว่าเจ้ายังไม่ทันได้เข้าประตูไปก็ปลูกหญ้าให้เขาเต็มศีรษะ เจ้าก็ดูว่าเทพแห่งสงครามจะเอาเจ้าไว้หรือไม่”
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเย่อหยิ่งและหว่างคิ้วนั้นก็เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงจองหอง “เทพแห่งสงคราม? เขานับเป็นสิ่งใด? ข้าต้องการมีความสุขกับผู้ใดยังต้องให้เขาอนุญาตหรือ เชอะ ไป”
“เจ้ามันหญิงที่เห็นสิ่งใดความคิดก็แตกต่างไป หยอกล้ออี้เฉินเฟยเสร็จก็อยากจะไปหอนางโลมเพื่อหาคณิกา เจ้า……”
เซี่ยวอวี่เซวียนยังไม่ทันกล่าวจบกู้ชูหน่วนก็ตบศีรษะของเขาแล้วกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าไม่พูดข้านั้นเกือบจะลืมไปแล้ว อี้เฉินเฟยไม่ได้บอกว่าจะอยู่กับข้าเป็นเวลาเจ็ดวันหรือ? คนหล่ะ? ให้เขาไปหอนางโลมเลย ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองสามจอก”
“เจ้าเกินเยียวยาแล้ว”
อี้เฉินเฟยเป็นคนเช่นไร จะไปสำมะเลเทเมาและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงามที่หอนางโลมกับเจ้าได้อย่างไร
ทันใดนั้นเสียงอันอบอุ่นและน่าฟังก็ดังขึ้น “คุณหนูสามมีความสง่างามเช่นนี้อี้เฉินเฟยจะอยู่เป็นเพื่อนด้วยอย่างแน่นอน”
เซี่ยวอวี่เซวียนผลักประตูออกก็เห็นอี้เฉินเฟยยืนต้านลมด้วยชุดสีขาวพลิ้วไสวโดยไร้ซึ่งทางธรรมราวกับเป็นเซียนอยู่ใต้จันทรา
ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอันเล็กน้อยรวมถึงลักษณะอันหล่อเหลาไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่บุรุษยังเหลือบมองสองสามครั้งอย่างทนไม่ไหว
“อี้เฉินเฟย? เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ข้าน้อยอี้เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ ในเมื่อบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูสามเจ็ดวันแล้วจะกลับคำได้อย่างไร”
เซี่ยวอวี่เซวียนกลอกตาหนึ่งครั้ง
“เช่นไรเจ้าก็เป็นผู้ที่เล่าเรียนศึกษาปราชญ์ขงจื๊อ หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าชายหญิงนั้นแตกต่างกัน? ดึกๆดื่นๆยังวิ่งมาหาแม่สาวอัปลักษณ์เจ้าจะให้ผู้คนภายนอกคิดเช่นไร?”
“คำพูดของคุณชายเซี่ยวนั้นผิดแล้ว ที่ว่าคบเป็นสหายคำพูดต้องเชื่อถือได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้ร่ำเรียนข้าก็จำต้องเรียนรู้ไว้เป็นแน่”
เซี่ยวอวี่เซวียนเงยหน้าขึ้นมองกู้ชูหน่วนโดยให้สัญญาณด้วยสายตา คำพูดของอี้เฉินเฟยหมายความว่าสิ่งใด
กู้ชูหน่วนตบศีรษะของเขาจากนั้นก็ยิ้มให้กับความเจ้าเล่ห์ของอี้เฉินเฟย “เสี่ยวอี้จื่อ ไม่เลว เจ้าค่อนข้างเหมาะสมกับเกณฑ์ความงามและเหมาะกับความชอบของข้า คืนนี้ข้าจองเจ้าเอาไว้แล้ว”
กล่าวๆอยู่กู้ชูหน่วนก็หยิบเงินจำนวนมากออกจากอกและยัดเข้าไปในมือของอี้เฉินเฟยซึ่งตั๋วเงินแต่ละใบมีค่าห้าร้อยตำลึง
“ไป ไปจวนเสนาบดีกับข้ารอบนึงก่อนแล้วค่อยหาคณิกามาเฉลิมฉลองกัน”
อี้เฉินเฟยมองดูเงินมากมายในมือก็รู้สึกยิ้มหรือหัวเราะไม่ออกอยู่บ้าง
ก็ถือว่าเขาเป็นคณิกาของหอนางโลมจริงๆ
เบื้องหน้าคือเซี่ยวอวี่เซวียนซึ่งไล่ตามกู้ชูหน่วนพร้อมพูดมากมายว่า
“แม่สาวอัปลักษณ์เจ้าจะไปหาคณิกาที่หอนางโลมจริงหรือ?”
“ชีวิตคนเราเมื่อปิติยินดีควรสนุกให้เต็มที่อย่าให้จอกทองว่างเปล่าคู่แสงจันทร์ ชีวิตต้องเร่งรีบมาหลายสิบปีแล้วก็ควรถึงเวลามีความสนุกสนานได้แล้ว”
“……”
อี้เฉินเฟยครุ่นคิด
ใช้เวลาพักหนึ่งจึงตามกู้ชูหน่วนไป
บนคานของจวนเสนาบดีกู้ชูหน่วนได้ไขว้ขาอยู่พร้อมกับคาบดอกหญ้าเอาไว้ที่มุมปากและยิ้มอย่างโมโหมองดูเสนาบดีกู้กับคนอื่นๆที่อยู่ด้านล่าง
ทางด้านซ้ายและขวาของนางมีบุรุษรูปงามอยู่ข้างกาย คนหนึ่งคือเซี่ยวอวี่เซวียนและอีกคนคืออี้เฉินเฟย
“ท่านพ่อลูกสำนึกผิดแล้ว ต่อไปลูกไม่กล้าเดิมพันกับผู้อื่นตามอำเภอใจแล้ว แต่เงินห้าแสนตำลึงให้นางไปหมดนางก็ได้เปรียบซะจริงๆ ลูกยอมมองเงินห้าแสนตำลึงให้ท่านพ่อเพียงแค่ท่านพ่ออย่าได้โมโหและอย่าได้ปล่อยให้กู้ชูหน่วนเอาไป”
“ใช่แล้ว นายท่าน นั่นเป็นเงินห้าแสนตำลึงเต็มๆเลยนะไม่ใช่ห้าร้อยตำลึง หากว่าใช้ในจวนเสนาบดีจะสามารถเพิ่มพูนประกายให้จวนเสนาบดีได้มากเพียงใด”
“พอแล้ว แต่ก่อนข้าเคยถามพวกเจ้าว่าผู้เฒ่าจางเหลือเงินเอาไว้ให้พวกเจ้าเท่าไหร่ พวกเจ้าบอกบอกข้าว่ามีเพียงสองแสนตำลึง แล้วตอนนี้เงินห้าแสนตำลึงนี้มาจากที่ใดกัน” เสนาบดีกู้กล่าวเสียงดังด้วยความโกรธ
อู๋อีเหนียงและกู้ชูหลานตัวสั่นเทา
เงินห้าแสนตำลึงนี้เป็นเงินจำนวนสุดท้ายของพวกนางแล้ว หากไม่ใช่วินาทีสุดท้ายพวกนางจะพูดออกมาไม่ได้อย่าว่าแต่นำออกมาเลย ครั้งนี้ถูกเจ้าสารเลวกู้ชูหน่วนทำให้โมโหจริงๆจึงได้เข้าแผนของนางจนสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างหมดสิ้น