อัครเสนาบดีกู้โกรธนัก หากอี้เฉินเฟยและเซี่ยวอวี่เซวียนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาจะไม่มีทางปล่อยกู้ชูหน่วนไปโดยง่ายแน่
กู้ชูหน่วนจ้องมองหีบตั๋วเงินหีบใหญ่ทั้งสองตรงหน้า และกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “มีเงินมากเกินไป ข้าเองก็มิรู้จะเก็บไว้ตรงไหนแล้ว หรือไม่พวกเจ้าสองคนแบ่งกันไปคนละหีบเถิด”
ฮูหยินใหญ่แทบจะล้มลง
อู่อี๋เหนียงและกู้ชูหลานคนชั่วทั้งสองถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเก่าแล้ว นางเองก็ดีใจ
แต่ทว่ามอบเงินห้าแสนตำลึงให้แก่กู้ชูหน่วนนั้น นางเจ็บใจเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เงินห้าแสนตำลึงคิดจะให้ก็ให้เลย และเซี่ยวอวี่เซวียนเองก็กลับเลือกหีบตั๋วเงินเสียด้วยพร้อมกล่าวว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าอย่ายัดเยียดให้ข้าอีกเลย ข้าเองก็ไม่มีที่เก็บแล้วเช่นกัน”
ไม่เพียงแต่ฮูหยินใหญ่เท่านั้น ผู้คนในจวนอัครเสนาบดีเองต่างก็จะเป็นลมไปด้วยเช่นกัน
ยังมีคนมองว่าเงินเยอะอีกอย่างนั้นหรือ?
นี่มันจงใจดูถูกพวกเขาสินะ?
หากไม่มีที่เก็บก็อย่ารับไปสิ คืนเงินห้าแสนตำลึงให้พวกเขาเสีย
ขณะที่ฮูหยินใหญ่กำลังจะเอ่ยปาก อี้เฉินเฟยก็หยิบแหวนออกจากอกมอบให้กับกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนถอยหลังไปสองสามก้าว “พี่ชาย ท่านมิได้จะขอแต่งงานหรอกนะ?”
“พูดอะไรของท่านกัน นี่เป็นแหวนเก็บสะสม แม้นจะเล็กไปหน่อย มีพื้นที่เก็บสะสมเพียงสองร้อยลูกบาศก์เท่านั้น ท่านใช้ไปพลางก่อน ไว้ข้าจะมอบอีกอันที่ใหญ่กว่าให้ท่านอีก”
ผู้คนต่างตกตะลึง
“แหวนเก็บสะสมงั้นหรือ? มีพื้นที่เก็บสะสมสองร้อยลูกบาศก์งั้นหรือ?”
แหวนเก็บสะสมถือว่าเป็นของดีเชียว ถึงแม้นจะมีเพียงสิบลูกบาศก์ ก็ราคาสูงเสียดฟ้าแล้ว คนธรรมดาไม่มีปัญญาซื้อแน่นอน ต่อให้มีปัญญาซื้อ ก็เป็นเพียงของไร้ค่าเท่านั้น
ทันทีอี้เฉินเฟยยื่นออกมาก็เป็นแหวนเก็บสะสมสองร้อยลูกบาศก์เลย
การใช้จ่ายนี้มันช่างมากเกินไปเสียจริง
เซี่ยวอวี่เซวียนเดินเข้าไปแล้วกล่าวยิ้ม ๆ อย่างประจบสอพลอ “คุณชายอี้ ท่านยังมีแหวนเก็บสะสมอยู่หรือไม่ขอรับ? มอบให้ข้าอันหนึ่งด้วยสิ ข้ามิเอามากหรอก เพียงแค่ห้าสิบลูกบาศก์ก็เพียงพอแล้ว”
“ข้าไม่มีแล้ว”
“…”
อี้เฉินเฟยจงใจให้เขาอิจฉาเป็นแน่
ของสิ่งนี้ไม่ดีไปกว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนเท่าไรนักหรอก
คนที่ภายนอกยิ่งอบอุ่นเท่าไร ในใจก็ยิ่งดำมากเท่านั้น
กู้ชูหน่วนกำลังเล่นกับแหวนเก็บสะสมนี้ แหวนนี้มีสีฟ้าอ่อนทั้งวง สวมใส่บนนิ้วกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ กำลังพอดีราวกับว่าสั่งทำมาอย่างไรอย่างนั้น
“แหวนนี้ใช้อย่างไรนั้นหรือ?”
“ท่านสวมใส่บนนิ้วมือแล้วสั่งการด้วยความคิดก็ได้แล้วล่ะ”
กู้ชูหน่วนลองใช้ความคิดเพื่อเก็บหีบตั๋วเงินหีบใหญ่ทั้งสองนี้ คาดไม่ถึงว่าหีบทั้งสองนั้นจะหายไปจริง ๆ
ในความอยากรู้ของนาง นางจึงได้นำหีบตั๋วเงินทั้งสองออกมาอีกครั้งแล้วลองดูซ้ำ ๆ หลายหน จึงได้ยิ้มอย่างพอใจออกมา
“แหวนเก็บสะสมนี้ไม่เลวเลย ข้าชื่นชอบนัก ขอบพระทัยพี่เฉินเฟยมากจริง ๆ”
หลังจากที่คำว่าพี่เฉินเฟยออกจากปาก กู้ชูหน่วนเองก็ตะลึงเช่นกัน
“ท่านชิ่นชอบก็ดี” อี้เฉินเฟยยิ้ม
กู้ชูหน่วนมองดูแหวนเก็บสะสมบนนิ้วมือ แล้วยิ้มต่ออัครเสนาบดีกู้ “ขอบพระทัยสำหรับตั๋วเงินห้าแสนตำลึงนี้นะเพคะ ไม่ใช่เพคะ เป็นตั๋วเงินเจ็ดแสนตำลึงต่างหาก”
จากนั้นก็นำตัวอี้เฉินเฟยและเซี่ยวอวี่เซวียนจากไป เหลือไว้เพียงประโยคหนึ่งว่า “ตกเย็นเราไปหาสถานที่รื่นเริงกัน ดูสิว่าจะสามารถใช้ตั๋วเงินห้าแสนตำลึงนี้หมดหรือไม่”
อัครเสนาบดีกู้และคนอื่น ๆ เครียดจนอยากจะทุบตีของตรงหน้าเสีย
ฮูหยินใหญ่หน้าเสีย “ท่านพี่ เงินห้าแสนตำลึงนั้นก็ให้พวกเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือเพคะ?”
อัครเสนาบดีตอบด้วยความโกรธว่า “มีสำนักศึกษาเป็นพยาน เจ้ากล้ามิทำตามอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินใหญ่จับหน้าอกตัวเอง เจ็บปวดใจจนแทบหายใจไม่ออก
ห้าแสนตำลึงเชียวนะ…ต้องใช้เวลาหานานเพียงใดกัน…
ออกจากจวนอัครเสนาบดีไม่นาน กู้ชูหน่วนและคนอื่น ๆ ก็ถูกล้อมด้วยชายชุดดำไร้นามสองคน
ชายชุดดำทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน “เพียงแค่เจ้าส่งระฆังวิญญาณสะบั้นออกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”