กู้ชูหน่วนหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนใบสั่งยาสองสามใบลงบนกระดาษเปล่า เดิมทีต้องการให้พวกเขาซื้อยาตามใบสั่งยาแต่เมื่อนึกถึงฐานะด้านการเงินของพวกเขากู้ชูหน่วนก็ถอนหายใจแล้วไปในเมืองซื้อยาให้นางด้วยตนเองและก็ต้มยาให้นางดื่มด้วยตนเอง
ท่านยายเยี่ยปฏิเสธทุกวิถีทางกู้ชูหน่วนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ยาได้ซื้อแล้วและต้มเรียบร้อยแล้ว หากท่านไม่ดื่มไม่งั้นจะให้ข้าดื่มหรือว่าเททิ้งไป?”
“คือว่า……”
“ในร่างของท่านถูกพิษอันประหลาด แม้ว่ายานี้จะไม่สามารถรักษาพิษของท่านให้หายได้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการปวดของท่านให้ทุเลาลงได้และก็อาการไอและปวดกระดูกขาของท่านก็สามารถรักษาให้หายได้”
“แม่นาง……” ท่านยายเยี่ยดูเหมือนว่าจะประหลาดใจอยู่บ้างที่สามารถมองออกว่านางถูกพิษที่พบเจอกันน้อยนัก แต่นางนั้นอายุยังน้อยซึ่งยังไม่ทันตรวจดูชีพจรก็สามารถรู้อาการป่วยของนาง
“ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวของข้าเป็นหมอรักษามาหลายชั่วอายุคนดังนั้นข้าก็รู้อยู่บ้างเล็กน้อย”
“ท่านเป็นคนดี ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็เป็นคนดีกันทั้งนั้น” ท่านยายเยี่ยสำลักและยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาเป็นครั้งคราว
ดวงตาของนางนั้นว่างเปล่า สิ่งที่ไหลลงมานั้นไม่ใช่หยดน้ำตาแต่เป็นหยดเลือด
กู้ชูหน่วนมองดูอย่างทุกข์ใจโดยที่อธิบายไม่ได้
ชีวิตนั้นยากลำบากเช่นนี้และสุขภาพก็ย่ำแย่ยิ่งนัก ด้วยความสามารถของเยี่ยเฟิงกลับเพียงแค่หาเงินตามกำลังอันแท้จริงและใช้ชีวิตเรียบง่ายของพวกเขา
จากหมู่บ้านเสี่ยวเหอถึงสำนักศึกษาหลวงก็เกือบจะพลบค่ำแล้ว
เป็นตามที่คาดไว้ ทุกคนในสถานศึกษามองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด
อาจารย์หรงก็ชี้ไปจมูกของนางพร้อมดุด่าว่ากล่าว
“กู้ชูหน่วนเจ้ายังมีสำนักศึกษาหลวงอยู่ในสายตาหรือไม่? ตอนนี้เวลาใดแล้วเจ้าพึ่งจะมาเข้าเรียน?”
“ท่านอาจารย์ ท่านผู้ซึ่งมีสถานะเป็นถึงอาจารย์ของผู้คนเหตุใดท่านถึงไม่เป็นห่วงลูกศิษย์เลยแม้แต่น้อย เมื่อวานได้มีการลอบสังหารหลายครั้งหลายคราในตรอกของเมืองหลวง คิดว่าทุกๆคนในเมืองหลวงคงจะรู้เรื่องกันหมดแล้ว ท่านอาจารย์ก็น่าจะรู้ว่าเป้าหมายของการลอบสังหารคือข้า แต่ลำดับแรกที่เห็นข้านั้นไม่ได้ถามข้าว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่แต่กลับสอบถามเรื่องข้าเข้าเรียนสาย ท่านว่าหากว่าข้ากราบทูลต่อฝ่าบาทหรือว่าประกาศให้ทุกคนทั่วทั้งใต้หล้าแล้วพวกเขาจะคิดอย่างไรกับท่านนะ?”
อาจารย์หรงหน้าตาโมโหโทโส
เขาในฐานะอาจารย์ไม่เคยมีใครกล้าโต้เถียงในสิ่งที่เขากล่าวมาก่อน แต่เมื่อเขากล่าวประโยคนั้นขึ้นกู้ชูหน่วนก็กล่าวคำพูดที่อาจารย์นั้นได้เข้าใจผิดมามากมายก่ายกองซึ่งคำพูดเหล่านั้นเขาก็ไม่สามารถลบล้างคำโต้เถียงได้เลยสักคำ
ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงแต่เป็นความเคยชินที่มีมาช้านานแล้ว
ในตอนบ่ายเล่าเรียนหลักการของฉิน อาจารย์ซั่งกวนบรรยายและอาจารย์หรงฟังอยู่ด้านข้าง
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มอย่างงามสง่าเป็นความสง่างามที่ไร้ซึ่งตัวตน “อาจารย์หรงก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้ามากเกินไป ด้วยความวิตกกังวลจึงได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ หากว่าคุณหนูสามไม่เป็นอันใดงั้นก็เชิญนั่งลงเล่าเรียนเถอะ”
อาจารย์หรงท่าทีโล่งใจแล้วรีบลงบันไดมา “อาจารย์ซั่งกวนกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก”
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาว
เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นยิ่งนัก
เมื่อองค์หญิงตังตังเห็นนางอารมณ์อันดีก็หายไปในทันที
กู้ชูอวิ๋นกำลังดีดฉินอยู่ ใบหน้าอันงดงามนั้นก็บังเกิดความรู้สึกขุ่นเคืองแว๊บผ่านไปอย่างรวดเร็วซะจนไม่มีผู้ใดสัมผัสได้
เสียงฉินของนางไพเราะน่าฟังราวกับสะพานอันเล็กซึ่งน้ำได้ไหลริน ทุกๆระดับเสียงนั้นบรรเลงได้อย่างไร้ที่ติจนคนจำนวนไม่น้อยในสำนักศึกษาที่ได้ยินนั้นอุทานขึ้น
“คุณหนูรองตระกูลกู้ดีดฉินได้ไพเราะยิ่งนัก หากว่านางได้เข้าร่วมการแข่งขันชุมนุมวิชาการด่านทักษะของฉินนี้ต้องได้เป็นที่หนึ่งเป็นแน่”
“ใช่หน่ะสิ แต่ว่านางโชคร้ายถูกกู้ชูหลานทำให้ลำบากไปด้วยถึงได้พลาดโอกาสในครั้งนี้ไป”
“หากว่านางสามารถเข้าร่วมในรอบชิงของการแข่งขันชุมนุมวิชาการและได้รับอันดับมาบ้าง ภายหน้านั้นจะต้องสามารถโบยบินในด้านนี้เป็นดั่งหงส์น่าเสียดายที่สายเกินไปเสียแล้ว”
“……”
กู้ชูหน่วนก็ยังต้องนับถือ กู้ชูหลานนั้นดีดฉินได้ดีจริงๆ
อย่างไรก็ตามภายใต้เสียงอันไพเราะของฉินกลับปรากฏความลึกลับที่ยากจะหยั่งรู้ได้เล็กน้อย เสียงฉินเช่นนี้นางไม่ได้ชื่นชอบเลย