ผู้อาวุโสตะโกนด้วยความโมโหจัด เขารวบรวมกำลังภายในไว้ที่ฝ่ามือและพุ่งไปกู้ชูหน่วน
กำลังภายในที่ออกไปนั้นราวแปดเท่า ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดต้องการให้กู้ชูหน่วนมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
เซี่ยวอวี่เซวียนบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่สามารถดูแลตัวเองได้
กู้ชูหน่วนก็ถูกล้อมรอบจนแทบเอาตัวไม่รอด แค่คิดจะหลบหนีจากกำลังภายในนั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้
หากต้องการเผชิญหน้ากับการถูกจู่โจม ตัวเองก็ไม่มีกำลังภายในเช่นนี้ คาดว่านางก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก
เด็กหนุ่มขยับเท้าและต้องการจะเข้าไปช่วยเหลือ
ทันใดนั้น ฝ่ามือกำลังภายในที่มีความรุนแรงยิ่งขึ้นก็พุ่งเข้ามา
“บึ้ม……”
กำลังภายในทั้งสองแรงพุ่งจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน แม้แต่พื้นดินก็สั่นสะเทือนและมีหลุมลึกขนาดใหญ่เกิดขึ้น
ร่างกายของทุกคนสั่นสะเทือนและแทบยืนทรงตัวไว้ไม่ได้
ในขณะเดียวกัน มีผู้มีวิทยายุทธสูงส่งจำนวนมากจากเผ่าปีศาจเข้ามาเปิดทางที่ปิดล้อมกู้ชูหน่วนเอาไว้
ผู้อาวุโสตกใจเล็กน้อย “นิกายเทพอสูร”
เจียงซวี่และทุกคนต่างตกตะลึงด้วยเช่นกัน
นิกายเทพอสูรเป็นหนึ่งในนิกายที่มีความลี้ลับซับซ้อนและมักไม่เคยปรากฏตัวที่ไหนมาก่อน และไม่เคยมีความข้องเกี่ยวใดๆ กับเผ่าปีศาจของพวกเขาเลย แต่ทำไมวันนี้กลับปรากฏตัวออกมา หรือว่ามาช่วยกู้ชูหน่วน หรือว่าพวกเขาก็มาเพื่อระฆังวิญญาณสะบั้นด้วยเช่นกัน?
เด็กหนุ่มถอนหายใจ
ไม่ว่านิกายเทพอสูรจะมาด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยก็สามารถช่วยชีวิตของกู้ชูหน่วนได้
กู้ชูหน่วนประคองเซี่ยวอวี่เซวียนที่แทบหมดลมหายใจขึ้นมาและหยิบผงยาในร่างกายออกมาเพื่อห้ามเลือดให้กับเขา “เจ็บหน่อยนะ แต่เจ้าต้องอดทนเอาหน่อย”
“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า รีบหนีไป” เสียงของเซี่ยวอวี่เซวียนสั่นไหว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ็บปวดอย่างมากหรือเพราะอะไร
ไม่ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดไหน เขาก็จ้องมองทุกคนอย่างระมัดระวัง เพราะเขากลัวว่าจะมีใครเข้ามาทำร้ายกู้ชูหน่วน
ขณะที่ช่วยห้ามเลือดให้เขานั้น กู้ชูหน่วนกะพริบตาเงียบๆ และพูดด้วยเสียงเรียบ “ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่ตายง่ายๆ และไม่ยอมให้ใครทำอะไรข้าได้ง่ายๆ หรอก”
เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกโมโห
นี่มันเวลาไหนแล้ว นางยังฝืนตัวเองไปถึงไหน
เมื่อสักครู่หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของนิกายเทพอสูรละก็ แม่สาวอัปลักษณ์คนนี้คงตายไปตั้งนานแล้ว
“ซี๊ด……ข้าปวดเหลือเกิน เจ้าทำเบากว่านี้ไม่ได้เลยหรือ”
“ใครบอกให้เจ้าวิ่งกลับมาล่ะ” กู้ชูหน่วนจ้องเขม็งด้วยความโมโห
หากเซี่ยวอวี่เซวียนไม่กลับ เพียงแค่วิชาตัวเบาของนางนั้นก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ คิดอยากจะหนีรอดออกไปจากที่นี่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ปัดโธ่ ข้าทำเพื่อเจ้าจนข้าแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เจ้ากลับโทษข้า เจ้าไม่มีเหตุผลเอาซะเลย……ซี๊ด……เจ็บๆๆ……”
เจียงซวี่เดินไปข้างหน้าและจ้องมองผู้คนจากนิกายเทพอสูร “ใต้เท้า กู้ชูหน่วนเป็นคนที่ท่านหัวหน้าหลานฉีต้องการตัว นิกายเทพอสูรไม่ได้มาเพื่อแย่งชิงนางไปจากพวกข้าใช่หรือไม่?”
“อย่าว่าแต่หัวหน้าหลานฉีเลย ต่อให้เป็นหัวหน้าเผ่าปีศาจมาอยู่ตรงหน้า พวกข้านิกายเทพอสูรก็ไม่เกรงกลัวหรอก”
ผู้คนของนิกายเทพอสูรที่มานั้นมีกันทั้งหมดหลายสิบคน ทุกคนล้วนใส่หน้ากากครึ่งหน้าปิดบังไว้ โดยที่ไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง
ผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนและสง่างามในชุดสีเขียว เขาสูงและสง่าผ่าเผย ในมือนั้นถือขลุ่ยแร่หินไว้แท่งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะยืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนละสายตาจากเขาได้เลย
ทางด้านซ้ายของเด็กหนุ่ม มีชายรูปงามที่มีทีท่าหัวเราะเยาะเย้ย
ทางด้านขวาเป็นชายร่างสูงมีหนวดมีเครา
และเขาก็เป็นคนที่พูดกับเจียงซวี่ไปเมื่อสักครู่
ไม่ว่าคนของเผ่าปีศาจจะเดินไปทางไหน ทุกคนต่างก็หลีกเลี่ยงถอยกลับมาและไม่กล้าเผชิญหน้า
คราวนี้เจียงซวี่จึงเดินออกมาในฐานะผู้นำและออกคำสั่ง
การออกปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ได้พบเจอกับคนของนิกายเทพอสูรเข้า แถมยังถูกดูถูกเข้าไป ทำให้สีหน้าของเขาไม่ดีนัก
เขาฝืนเก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจ จากนั้นถอยกลับมาก้าวหนึ่ง “คืนระฆังวิญญาณสะบั้นมาให้พวกข้า ส่วนผู้หญิงคนนี้พวกเจ้าจะจัดการอย่างไรกับนางก็ได้”
“เหลวไหล นาง พวกข้าต้องการ ระฆังวิญญาณสะบั้นนี้ ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าไปได้”
“หรือว่านิกายเทพอสูรต้องการจะเป็นศัตรูกับเผ่าปีศาจของพวกข้าอย่างนั้นหรือ?” เจียงซวี่กัดฟันกรอดเมื่อพูดชื่อเผ่าปีศาจ
“เป็นศัตรูก็เป็นศัตรู คิดว่าข้ากลัวพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ” ดวงตาดุร้ายราวกับเสือร้ายที่แทบอดไม่ได้ที่จะขยุ้มฉีกเนื้อของเจียงซวี่
ความโกรธของเจียงซวี่เพิ่มมากขึ้น
เขาพูดกับผู้เป็นหัวหน้า ไม่ได้พูดกับไอ้เจ้าบ้าระห่ำคนนั้น เขาจะพูดแทรกขึ้นมาทำไม?
อีกอย่าง เขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรต่อเขา ทำอย่างกับว่าเขาโหดร้ายอะไรเช่นนั้นไปได้