เยี่ยจิ่งหานเลิกคิ้ว “ทำไม ข้าจะไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
แม่สาวนิสัยเสีย เขาช่วยนางไว้แท้ๆ แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี แล้วนี่ยังคิดจะไล่เขาอีก
“ได้ยังไงล่ะ แค่ท่านทำตัวเป็นพระพุทธรูปนั่งเฉยอยู่ในสำนักศึกษาพวกเขาก็กลัวกันหมดแล้ว แล้วแบบนี้ทุกคนจะเข้าเรียนได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่าข้าทำเพื่อท่านอยู่หรอกหรือ”
กู้ชูหน่วนชี้ไปที่นักเรียนซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่เต็มสำนักศึกษา แววตาเต็มไปด้วยการหยอกล้อ
เซี่ยวอวี่เซวียนและคนอื่นๆ คิดว่าเทพแห่งสงครามคงไม่ยอมจากไปง่ายๆ แต่ไม่คิดว่าเยี่ยจิ่งหานจะยกมือขึ้น ชิงเฟิงเข้าใจความหมายของเขาและเข็นรถเข็นออกไปจากสำนักศึกษาทันที
เขาทิ้งไว้เพียงประโยคเรียบๆ ประโยคเดียวว่า “ถ้าคืนนี้ไม่กลับจวนอีกละก็ มาดูกันว่าเจ้าจะรักษาขาสุนัขของเจ้าไว้ได้หรือเปล่า”
เอ่อ…
เทพแห่งสงครามจากไปง่ายๆ อย่างนี้น่ะนะ
เขามาที่นี่เพื่อช่วยแม่สาวอัปลักษณ์จริงๆ หรือ
เมื่อนึกย้อนไปถึงท่าทีที่เทพแห่งสงครามมีต่อกู้ชูหน่วนก่อนหน้านี้ เซี่ยวอวี่เซวียนก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมา บางทีเทพแห่งสงครามอาจไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิด
มุมปากของกู้ชูหน่วนกระตุกเล็กน้อย
ขาสุนัข
ขาของนางเป็นขาสุนัขงั้นเหรอ
“เอาละ ทุกคนนั่งประจำที่ เรียนต่อได้” อาจารย์ซั่งกวนกล่าว
ทุกคนนั่งลงแล้ว ทว่าภายในใจยังรู้สึกปั่นป่วน มีหลายคนที่หันไปมองกู้ชูหน่วนด้วยแววตาที่สงสัยใคร่จะสอบถาม
“คนต่อไป เยี่ยเฟิง”
ไม่รู้ว่าเยี่ยเฟิงเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่สะอาดและกลับมาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อได้ยินเสียงเรียกเขาจึงลุกขึ้นและโค้งคำนับ จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่ข้างโต๊ะอาจารย์
บุคลิกของเขาโดดเด่น กิริยาของเขางดงาม เมื่อสองมือสัมผัสกับสายฉิน ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็มีแสงประกายวาบขึ้นมา
กู้ชูหน่วนขยับเข้าไปใกล้เซี่ยวอวี่เซวียนและถามว่า “ชั้นเรียนวันนี้ ทุกคนต้องออกไปดีดฉินงั้นเหรอ”
“ใช่”
“แล้วเจ้าดีดไปหรือยัง”
“มะ… มือของข้าได้รับบาดเจ็บ ท่านอาจารย์ซั่งกวนยกเว้นให้ข้าไม่ต้องเล่นเป็นกรณีพิเศษ”
กู้ชูหน่วนมองเขาด้วยสายตาดูถูก
เมื่อเห็นความตื่นตระหนกในแววตา นางก็รู้ทันทีว่าเขาโกหก และเขาพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
“เจ้าเคยบอกเมื่อหลายวันก่อน แต่ข้ายังไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ซั่งกวนดีดฉินเสียที เขารู้วิธีดีดฉินจริงๆ รึ”
“รู้สิ ทักษะการดีดฉินของเขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า”
“แล้วเหตุใดเขาจึงไม่เล่นล่ะ”
“…”
วันๆ หนึ่งถ้านางไม่มาเรียนสายก็หลับในห้องเรียน แม้ว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนจะดีดฉินนางก็ไม่มีทางได้ยิน
ทันใดนั้นเสียงอันรื่นหูของฉินก็ดังก้องไปทั่วสำนักศึกษา อ้อมผ่านป่าทึบและดังเข้าสู่โสตประสาทของทุกคน ทุกคนหวั่นไหวจนร่างกายสั่นสะท้าน ต่างถูกดึงดูดด้วยเสียงอันไพเราะของฉิน
แม้แต่กู้ชูหน่วนก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
เยี่ยเฟิงแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าขาวดูสง่า เขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่ข้างโต๊ะ แผ่นหลังตั้งตรงราวกับไม่เคยคดงอ เขาดีดฉินอย่างแผ่วเบา แล้วเสียงอันไพเราะพลิ้วไหวของฉินก็ไหลออกมาจากนิ้วของเขา ราวกับผสานโลกและสวรรค์เข้าด้วยกัน
ท่วงทำนองของฉินมีขึ้นมีลง เสียงต่ำฟังจับใจ นุ่มนวลชวนให้คล้อยตาม ทว่าเต็มไปด้วยความฮึกเหิม สายลมแผ่วเบาพัดผ่านเข้ามากระทบปอยผมที่หน้าผากของเขา เหมือนฝุ่นที่ไร้ตัวตน เหมือนเทพตกสวรรค์ที่สง่างาม
เซี่ยวอวี่เซวียนอุทาน “พับผ่า นึกไม่ถึงว่าเสียงฉินของเยี่ยเฟิงจะไพเราะขนาดนี้ ข้าไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่”
กู้ชูหน่วนตั้งใจฟังเสียงเพลงของเขา
ภายในเสียงเพลงอันนุ่มนวลนั้นมีร่องรอยของความเศร้าและความสิ้นหวัง
ดูเหมือนกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อดิ้นรนจากพันธนาการ แต่กลับถูกผลักลงไปในห้วงลึกอับแสงครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเงยหน้ามอง ทุกที่มืดมิด ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของแสงสว่าง
เสียงของฉินแผ่วเบาราวกับกำลังบ่งบอกถึงความไร้หนทางของเขา
ความรู้สึกของกู้ชูหน่วนหนักอึ้งเมื่อได้ฟัง
แท้จริงแล้วเขาประสบกับชะตากรรมแบบไหนมากันแน่ เสียงเพลงของเขาจึงดูสิ้นหวังและเจ็บปวดขนาดนี้
เพลงจบแล้ว
ทุกคนตกอยู่ในภวังค์อยู่เป็นนาน
หลายคนน้ำตาไหลออกจากหางตา
ด้วยความชื่นชมยินดีและความเศร้าในเสียงเพลง บรรยากาศดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยความระทมทุกข์เหมือนกับเสียงเพลงของเขา