กู้ชูหน่วนตกตะลึง “เขาจะสง่างามเกินไปแล้ว”
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่สบอารมณ์ “แล้วข้าไม่งามหรืออย่างไร”
“งาม เจ้าก็งาม เพียงแต่ท่านอาจารย์ของข้าสง่างามกว่า”
“นี่ คุณหนู เจ้าคือพระชายาหานที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาท ถ้าท่านเทพแห่งสงครามรู้ว่าเจ้าต้องการชายอื่นจนน้ำลายไหลเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวหัวจะหลุดจากบ่างั้นหรือ”
“หัวใจที่รักความงามล้วนมีอยู่ในตัวทุกคน”
“……”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซี่ยวอวี่เซวียนจึงไม่ชอบมากๆ เวลาที่นางชื่นชมชายอื่น เขารู้สึกขมๆ ในใจ อะไรก็ดูอุดตันอึดอัดไปหมด
“คารวะท่านอาจารย์…”
ทุกคนยืนขึ้นคำนับและเอ่ยเสียงดัง
กู้ชูหน่วนก็รีบลุกขึ้นและคำนับเช่นกัน ทว่านางเห็นองค์หญิงตังตังรีบร้อนเข้ามารวมกับนักเรียนคนอื่นโดยมีผ้าคลุมหน้าบางๆ คลุมไว้ แม้ว่าจะกำลังคำนับ แต่สองตาของนางกลับลอบมองซั่งกวนฉู่ตาไม่กะพริบ แทบอยากจะจับเขาบดขยี้เข้ามาในใจ
องค์หญิงผู้ดื้อรั้นคนนี้ถูกนางสั่งสอนไปเมื่อเช้า นางร้องห่มร้องไห้ไปกล่าวฟ้อง ตอนนี้ยังจะกลับมาอีกหรือ
นางชอบท่านอาจารย์ซั่งกวนมากขนาดไหนกัน
กู้ชูหน่วนกระตุกยิ้มมุมปาก นางมาคนเดียว นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง ฝ่าบาททรงต้องรับมือกับเทพแห่งสงคราม และนางเป็นพระชายาแต่งตั้งของเทพแห่งสงคราม ซึ่งนั่นทำให้พระองค์ลงมือกับนางตอนนี้ไม่ได้ ดังนั้นคำทูลฟ้องขององค์หญิงตังตังจึงไร้ประโยชน์
“นั่งลงได้”
น้ำเสียงของซั่งกวนฉู่อบอุ่นน่าฟังราวกับเสียงของธรรมชาติ ฟังแล้วทำให้เหล่าองค์หญิงและสตรีทั้งหลายลุ่มหลง
กู้ชูหน่วนสังเกตเห็นว่ากู้ชูอวิ๋นมองซั่งกวนฉู่ด้วยสายตาแปลกๆ
หรือว่า…
นางก็ชอบซั่งกวนฉู่?
นางสายตาดีกว่ากู้ชูหลาน ไม่รู้ว่ากู้ชูหลานไปชอบอะไรเจ๋ออ๋อง
ถ้าดูตามรูปลักษณ์ทั่วไป เขาดูไม่เห็นจะได้เรื่อง ทั้งยังไร้ประโยชน์ อย่างดีสุดก็แค่มีรูปร่างดีเท่านั้น
“ขอบคุณท่านอาจารย์” ทุกคนนั่งลง
ซั่งกวนฉู่วางกู่ฉินสีหมึกลงบนโต๊ะ กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาที่อ่อนโยน เขาหยุดมองกู้ชูหน่วนนิดหนึ่งจากนั้นจึงค่อยหันไปมองทางอื่น
“เมื่อวานข้าสอนพวกท่าน พวกท่านได้กลับไปฝึกหรือไม่”
“ฝึกเจ้าค่ะ” องค์หญิงตังตังตะโกนตอบเป็นคนแรกเพราะอยากอวดตนเมื่ออยู่ต่อหน้าซั่งกวนฉู่ จากนั้นแม่นางจากตระกูลขุนนางอีกหลายคนก็ทยอยพากันตอบ
“เช่นนั้นเชิญองค์หญิงเล่นเพลงก่อน”
องค์หญิงตังตังยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางบังคับสีหน้าท่าทางของตนเองให้มั่นคง วางมือขาวนวลลงบนสายกู่ฉินอย่างแผ่วเบา จากนั้นเสียงดนตรีที่งดงามก็ดังขึ้น
กู้ชูหน่วนหาวไปหนึ่งทีและเริ่มง่วง
นางคิดว่าซั่งกวนฉู่จะดีดให้พวกนางฟัง แต่กลับปล่อยให้พวกนางเป็นคนดีด
องค์หญิงตังตังดีดกู่ฉินไพเราะพอใช้ได้ เพียงแต่ดนตรีค่อนข้างไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนไร้จิตวิญญาณ ยากที่จะดังเข้ามาถึงโสตประสาทของนาง
ดนตรีนั้นเป็นเหมือนการสะกดจิต กู้ชูหน่วนฟังอย่างสะลึมสะลือและผล็อยหลับไปอีกครั้ง
จนกระทั่งนางตกใจตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะถูกเซี่ยวอวี่เซวียนปลุก
“เลิกเรียนแล้วหรือ งั้นข้ากลับได้แล้วใช่หรือไม่”
“ฮ่าๆๆๆ”
นักเรียนทุกคนพากันหัวเราะครื้นเครง
เมื่อเช้าตอนวิชาเรียนของท่านอาจารย์สวีนางก็งีบหลับไปทีหนึ่งแล้ว ตอนบ่ายในวิชาของท่านอาจารย์ซั่งกวนนางก็ยังจะหลับอีก
อาจารย์ซั่งกวนไม่ค่อยได้สอนนัก การได้ฟังเขาบรรยายสักครั้งนับว่าโชคดีไปสามชาติ
นอกจากนั้นยัง…
ไม่มีสตรีคนใดบนโลกนี้ที่ต้านทานใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเทวดาของท่านอาจารย์ซั่งกวนได้
นางก็เหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะหลับไปจริงๆ
องค์หญิงตังตังกล่าวประชดว่า “ขี้เลื่อยอย่างไรก็เป็นขี้เลื่อย ปัญญามีเท่านี้ยังคิดจะมาเรียนที่สำนักศึกษาวังหลวงอีก”
แม้ว่าจะเป็นการตำหนิ แต่ความโกรธขององค์หญิงตังตังก็ลดลงไปมาก นั่นเพราะการที่กู้ชูหน่วนหลับลงได้ขณะฟังการบรรยายของท่านอาจารย์ซั่งกวน แสดงให้เห็นว่านางไม่ได้อยากได้ท่านอาจารย์ซั่งกวนจนน้ำลายไหล
กู้ชูหน่วนขยี้ตา
นางเกาะติดอยู่กับชายแปลกหน้าตลอดทั้งคืน พอกลับไปถึงเรือนก็ต้องรับมือกับญาติๆ ที่แสนดีนั่นอีก พอตอนเจ็ดโมงแปดโมงเข้าก็ถูกชิวเอ๋อร์ลากออกมา โดยพื้นฐานแล้วนางไม่ได้นอนเลย แบบนี้นางจะไม่ง่วงได้อย่างไร
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มอย่างสุภาพงดงาม ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “คุณหนูสามน่าจะเชี่ยวชาญในสิ่งที่ข้าสอนหมดแล้ว คงจะดีกว่าถ้าให้คุณหนูสามดีดบรรเลงเพลงสักเพลง”
อะไรนะ…
ให้นางดีด?
มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า
ให้นางดีดอะไร
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาสอนเมื่อครู่นี้คืออะไร
กู้ชูหน่วนหันไปมองเซี่ยวอวี่เซวียนอย่างสับสน
เซี่ยวอวี่เซวียนหันหน้าหนีไม่ยอมสบตา
อย่ามายุ่งกับเขา
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนกำลังอธิบายเรื่องอะไร ถ้าอาจารย์ซั่งกวนขอให้เขาดีดเพลงเล่า เขาจะทำอย่างไร
“เชิญได้เลย คุณหนูสาม” อาจารย์ซั่งกวนชี้ไปที่กู่ฉินบนโต๊ะและทำท่าเชิญอย่างสุภาพ
กู้ชูหน่วนรู้สึกตึงไปทั้งหน้า
“ทะ… ท่านอาจารย์ ข้าจะดีดเพลงอะไรก็ได้ใช่หรือไม่”
“แน่นอน ดีดเพลงที่ท่านถนัดได้เลย”
“เอาละ ดีดก็ดีด ไม่ใช่ว่าไม่เคยดีดมาก่อนเสียหน่อย”
กู้ชูหน่วนนั่งลง นางวางมือทั้งสองข้างลงบนสายกู่ฉินราวกับกำลังงงว่านิ้วไหนควรวางตรงไหน
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ริมทะเลสาบอีกครั้ง
“ฮ่าๆๆ… นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมืออย่างไร”
“นั่นนะสิ เจ้าดูสิ นางทำมือมั่วไปหมด”
กู้ชูหลานมองเรื่องตลกตรงหน้าอย่างเย็นชาและรู้สึกลำพองใจเป็นอย่างมาก
กู้ชูอวิ๋นมองดูเงียบๆ ราวกับเป็นคนนอก
สีหน้าของเจ๋ออ๋องไร้อารมณ์ความรู้สึก ราวกับว่ากู้ชูหน่วนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา
คนที่เหลือส่วนใหญ่ต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยรอดูเรื่องตลก
เซี่ยวอวี่เซวียนหันกลับไปมองอย่างแค้นๆ “หัวเราะอะไรกัน มีอะไรน่าขำ มีใครบ้างรึที่ไม่ได้เริ่มเรียนรู้จากศูนย์ ถ้าเก่งขนาดนั้นยังจะมาเรียนกู่ฉินทำไมอีก”
กู้ชูหน่วนอดยกนิ้วโป้งให้เขาไม่ได้
น้องเล็กคนนี้ก็ใช้ได้นี่นา
เซี่ยวอวี่เซวียนส่งสายตาเป็นกำลังใจให้นาง
อันที่จริงเขากลัวว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนจะลงมีดใส่เขาเหมือนกัน แต่เขาไม่ชอบให้ใครมาดูหมิ่นแม่สาวอัปลักษณ์ผู้นี้
เซี่ยวอวี่เซวียนมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง บิดาของเขาเป็นผู้อาวุโสของทั้งสามราชวงศ์ ทั้งยังมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ ดังนั้นหลายๆ คนในที่นี้จึงไม่กล้าต่อต้านเขา
กู้ชูหน่วนเลยหลับตาลงเสียเลย นิ้วของนางสะบัดไปเรื่อยและดีดไปมั่วๆ เสียงอันแสบแก้วหูที่ดังขึ้นมา ฟังดูราวกับเสียงของภูตผี ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ทั้งไม่น่าฟังทั้งน่าหนวกหู
ทุกคนหน้าถอดสีและอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหู
พวกเขาเคยฟังเพลงที่ไม่ไพเราะมาก่อน แต่ไม่เคยได้ยินเพลงไหนแย่เท่านี้
หากยังฟังต่อไปเกรงว่าพวกเขาอาจจะกระอักเลือดตายก็เป็นได้
แม้แต่เซี่ยวอวี่เซวียนก็ยังยกมือปิดหูและคลานออกไปให้ห่างจากนาง
องค์หญิงตังตังตวาดขึ้นมาว่า “พอได้แล้ว กู้ชูหน่วน นี่เจ้าจงใจหรืออย่างไร”
กู้ชูหน่วนตกใจกลัวและดูเหมือนลูกแกะที่ได้รับบาดเจ็บ ตอบอย่างน้อยใจว่า “องค์หญิง ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร ท่านอาจารย์ขอให้ข้าดีดเพลง ข้าก็ดีดเพลงที่ข้าถนัดที่สุด”
“ที่เจ้าดีดนั่นนับเป็นเพลงด้วยหรือ”
“เหตุใดจึงจะไม่ใช่เพลง แม้ว่าข้าจะดีดกู่ฉินไม่ดีเท่าพวกท่าน แต่ข้าก็ใส่ใจมาก ใช่หรือไม่ เสี่ยวเซวียนเซวียน”
เซี่ยวอวี่เซวียนจ้องมองกู้ชูหน่วนและปฏิเสธที่จะตอบคำถามของนาง
เขากลัวขายหน้า
ทุกคนมองกู้ชูหน่วนราวกับมองคนโง่เขลา
ก่อนหน้านี้มีคำล่ำลือกันว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลกู้ ไม่ว่าจะเป็นกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีน ภาพวาดจีน บทกวี ดนตรีล้วนทำได้ไม่ดี เป็นคนหัวขี้เลื่อยอันดับหนึ่งของรัฐเยี่ย เมื่อเช้าพวกเขาเจอเรื่องบทกวีสู่หลีมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แต่มาถึงตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะประเมินคุณหนูสามแห่งตระกูลกู้สูงเกินไป
นางก็เป็นแค่พวกหัวขี้เลื่อยไร้ประโยชน์คนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่านางไปได้บทกวีสู่หลีในสมัยโบราณมาจากที่ไหน
“ท่านอาจารย์ ท่านว่าข้าดีดไพเราะหรือไม่เจ้าคะ” ดวงตาน้อยๆ อันชาญฉลาดของกู้ชูหน่วนกะพริบปริบๆ
อาจารย์ซั่งกวนยิ้มอย่างสง่างามและพูดโอ่ว่า “คุณหนูสามบรรเลงได้ดีมาก เพลงที่ท่านเพิ่งดีดไปนั่น ให้ฝึกไปอีกห้าสิบครั้ง”
รอยยิ้มของกู้ชูหน่วนชะงักงัน
“หะ… ห้าสิบครั้ง? ทะ… ท่านอาจารย์ ท่านพูดเล่นใช่ไหมเจ้าคะ”
“คุณหนูสามขยันหมั่นเพียรในการเรียนรู้ ท่านดีดเพลงที่ข้าไม่เคยสอนได้อย่างคล่องมือ คู่ควรที่จะได้รับคำชมเชย เพลงของคุณหนูสามนั้นควรให้คนทั้งสำนักศึกษาได้ฟัง ทุกคนจะได้เรียนรู้อย่างเต็มที่เหมือนคุณหนูสาม
กู้ชูหน่วนกระตุกมุมปาก
นางขอคืนคำพูดก่อนหน้านี้
บุรุษผู้นี้ไม่ได้หล่อเหลาสง่างามเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังใจดำมากด้วย
ขยันหมั่นเพียรในการเรียนรู้อะไรกัน เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการลงโทษนาง