“ร่างกายของเขามีรอยแผลที่ดูคลุมเครือ บนร่างกายของเจ้ามีหรือไม่?”
“แต่ข้าเหลือเพียงเสื้อผ้าชิ้นเดียวแล้ว หากข้าให้เขาไป เช่นนั้นข้าจะมองหน้าคนอื่นอย่างไร?”
กู้ชูหน่วนชี้ไปที่ใบไม้บนต้นไม้ในวัดร้างและโยนเข็มเงินหนึ่งอันไปให้เขา “ข้างนอกมีใบไม้เป็นจำนวนมาก เจ้านำมาร้อยเข้าด้วยกันแล้วสวมใส่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก”
เซี่ยวอวี่เซวียนมองไปที่เข็มเงินในมือและรู้สึกสับสนยุ่งเหยิง
“ที่นี่ไม่มีด้ายเสียหน่อย และเข็มนี้ก็เป็นเข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็ม แต่เอามาร้อยด้ายไม่ได้ ข้าไม่สน ถึงอย่างไรเสียข้าก็จะไม่ถอด หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป เช่นนั้นชื่อเสียงของข้าต้องพังลงอย่างแน่นอน”
กู้ชูหน่วนเอามือกอดอกและยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าถอดเสื้อคลุมออกมาทำแผลให้กับเขาแล้วและตอนนี้ก็เหลือเพียงชิ้นเดียว หากเจ้าไม่ถอด เช่นนั้นข้าต้องถอดอย่างนั้นหรือ?”
“แต่……แต่ยังมีฝูกวงไม่ใช่หรือ? รอให้เขากลับมาแล้วถอดของเขาไม่ดีกว่าหรือ?”
“ยังไม่รู้ว่าฝูกวงจะกลับมาตอนไหนเลย หรือว่าเจ้าจะให้เขาเปลือยเปล่าไปตลอดเช่นนี้หรือ”
เซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกแทบจะเป็นบ้า
นี่มันเรื่องอะไรกัน
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่เขาและลงมือถอดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนร่างกายของเขาออกมา
“เฮ้ เจ้าไม่รู้ว่าคำว่าหญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกันหรืออย่างไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้ารีบหยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ไม่รู้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนเอาพละกำลังมาจากไหนที่พยายามฉุดกระชากและหนีออกจากนางไปได้
“ต่อให้เจ้าต้องการเสื้อผ้าของข้า เจ้าก็ควรให้เวลาข้าบ้างสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไรล่ะ?”
“เร็วๆ เข้า”
“นับว่าข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้าแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ไปไหนกับเจ้าอีก”
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าเขาไปได้ผ้าตาข่ายพันแผลที่ไหนมาจำนวนหนึ่งเพื่อทำเป็นเสื้อผ้าและปกปิดเรือนร่างของเขาเอาไว้
“หยุดดูได้แล้ว ข้างหน้าไม่ไกลนักยังมีวัดเทพเจ้าแห่งขุนเขา ข้าได้ค้นพบเศษผ้าจำนวนหนึ่งที่นั่นเข้า”
จริงหรือ……
ในหุบเขารกทึบ ข้างวัดร้างยังมีวัดเทพเจ้าแห่งขุนเขาอย่างนั้นหรือ?
แถมยังบังเอิญที่เซี่ยวอวี่เซวียนไปพบเข้า?
จะบังเอิญเกินไปหรือไม่นะ?
“นี่ เอาไปสิ”
เซี่ยวอวี่เซวียนโยนเสื้อผ้าของเขาให้กับนางด้วยสีหน้าบึ้งตึง
กู้ชูหน่วนกลับไม่รับเอาไว้ แต่กลับเดินออกไป “เจ้าสวมเสื้อผ้าให้กับเขา และก็เจ้าช่วยจัดการร่างกายช่วงล่างของเขาด้วยล่ะ?”
“เจ้ามีทักษะทางด้านการรักษาไม่ใช่หรือ? เจ้าก็จัดการเองเลยสิ ข้าทำไม่เป็นหรอก หากทำให้เขาบาดเจ็บซ้ำจะทำอย่างไร?”
กู้ชูหน่วนใช้มะเหงกเขกหัวเขาไปหนึ่งครั้ง “หญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เจ้าไม่เข้าใจหรือ”
เขารู้สึกลำบากใจ “แต่นี่……แต่นี่คงไม่ดีกระมัง หากเยี่ยเฟิงฟื้นขึ้นมาและรู้ว่าข้า……ข้ากลัวว่าเขาจะฆ่าข้า”
“ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าเป็นคนลงมือทำ?”
เซี่ยวอวี่เซวียนทำสีหน้าบึ้งตึงและกัดฟันกรอด “ก็ได้ ข้าไปเอง แต่เจ้าห้ามไปบอกคนอื่น โดยเฉพาะเยี่ยเฟิงและหลิ่วเย่ว์ อวี๋ฮุยพวกเขา”
“รู้แล้วหน่า พูดเยอะไร้สาระเหลือเกิน”
เวลาผ่านไปกว่าธูปครึ่งดอก เซี่ยวอวี่เซวียนจึงเดินออกมาด้วยสีหน้าที่หนักหน่วง
กู้ชูหน่วนรู้สึกสงสัย “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ใช่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“โกรธหรือ? เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งหน้าจะไม่มีทางให้คุณชายเซี่ยวทำเรื่องเช่นนี้อีกเด็ดขาด”
มุมปากของเซี่ยวอวี่เซวียนขยับเล็กน้อย แต่กลับไม่มีคำพูดใดออกมา
เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะเรื่องนี้
แต่เป็นเพราะรอยบาดแผลของเยี่ยเฟิงต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงด้วยความหวาดกลัวครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อนึกถึงรอยบาดแผลที่ส่วนร่างของลำตัวของเขา หัวใจของเซี่ยวอวี่เซวียนก็บีบแน่นและนึกไม่ออกเลยว่าเยี่ยเฟิงอดทนกับความเจ็บปวดนี้ไปได้อย่างไร
หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป
แทบไม่จำเป็นที่จะสงสัยแล้วว่าเยี่ยเฟิงคือผู้ร้าย
หากเขาสามารถฆ่าหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์หรง เช่นนั้นแล้วเขาจะทำให้ตัวเองต้องทุกข์ทนทรมานเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
เซี่ยวอวี่เซวียนเอียงศีรษะไปถาม “แม่สาวอัปลักษณ์ เวลาสามวันใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักนิด เจ้าจะอธิบายกับคนของสำนักศึกษาอย่างไร?”
“ใครบอกว่าไม่มีเบาะแสเลยสักนิด นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าเยี่ยเฟิงถูกเหยียดหยามดูถูกมาแล้วเป็นเวลาสองวันเต็ม แต่กลับไม่ใช่ฆาตกรฆ่าคนที่แอบหลบหนีไป?”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้พูดถึงสิ่งนี้”