ในที่สุดกู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนก็เห็นคนที่เดินมาชัดเจนขึ้น
แต่ทว่า ร่างกายของพวกเขากลับสั่นสะท้าน รูม่านตาหดลงอย่างรุนแรง ดวงตาที่ชัดเจนเต็มไปด้วยความน่าเหลือเชื่อและสะพรึงกลัว แม้แต่ร่างกายก็สั่นสะท้านตามไปด้วย
คือเยี่ยเฟิง
กลับกลายเป็นเยี่ยเฟิง
เพียงแต่เยี่ยเฟิงในตอนนี้ไม่ดูเย็นชา เงียบขรึมและเย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อน
เขาในตอนนี้นั้น ไม่มีภาษาใดในโลกที่สามารถอธิบายความทุกข์ทรมานของเขาได้
เขาใช้มือข้างหนึ่งกำท้องที่เปื้อนเลือดแน่น มืออีกข้างหนึ่งดูเหมือนจะหักลง ทำได้เพียงแนบพิงไปที่ต้นไม้ใหญ่ เสียงหอบดัง ราวกับมีเพียงแค่การแนบพิงไปที่ต้นไม้เท่านั้น ที่จะทำให้เขาสามารถทนฝืนพยุงร่างกายของตัวเองไม่ให้ล้มลงได้
เมื่อมองไปที่ลำตัวของเขา
เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่น่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัว
รอยแผลเป็นเหล่านั้นน่าตกใจ ชิ้นส่วนของเนื้อและเลือดถูกกัดจนเละเป็นชิ้นๆ ในหลายตำแหน่ง
บริเวณหน้าอกถึงท้องไหม้เกรียม แม้แต่กระดูกก็เผยออกมาให้เห็น ซึ่งมีเลือดอาบเต็มไปหมด
บริเวณหน้าท้องของเขายังมีมีดห้าถึงหกด้ามเสียบกลับด้านอยู่ มีดนั้นสามารถเจาะลึกเข้าไปในกระดูกและเลือดก็ค่อยๆ หยดจากปลายมีด
นอกจากนี้ ร่างกายของเขายังถูกมัดเอาไว้และยังมีบาดแผลจากแส้ทุกชนิด บาดแผลจากไม้ บาดแผลจากดาบ และทั้งร่างกายแทบไม่มีบริเวณไหนเลยที่ที่ไม่มีบาดแผล
และสิ่งที่ทำให้กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ
นอกเหนือจากรอยแผลเหล่านี้แล้ว ยังมีรอยแผลเป็นคลุมเครือต่างๆ บนร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขา ใบหน้าของเขาซีดเผือดและผมของเขายุ่งเหยิง เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าเขาถูกกระทำชำเราดูถูกเหยียดหยามมา
โมโห
โมโหอย่างมาก
กู้ชูหน่วนแทบจะใช้กำลังทั้งหมดของนางเพื่อไม่ให้ตัวเองโมโหจนระเบิดออกมา
ลมหายใจของพวกเขานั้นแรงเกินไป
เยี่ยเฟิงเงยหน้าขึ้น ความตกใจและความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในดวงตาอันเจ็บปวดของเขา
เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ไม่มีกลุ่มก้อนเมฆ แสงจันทร์สาดส่องลงมา แม้ไม่อาจส่องสว่างทุกสิ่ง แต่ยังสามารถมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน
เยี่ยเฟิงรีบปกปิดร่างกายที่เผยออกมาให้เห็นและขดตัวเป็นวงกลม ดูเหมือนเขาไม่ต้องการให้ใครเห็นเขาทั้งหมดในตอนนี้ และไม่กล้าหันไปมองพวกเขา
แต่เสื้อผ้าบนร่างกายของเขานั้นมีน้อยเกินไป ไม่ว่าเขาจะปกปิดอย่างไร ก็ไม่สามารถปกปิดส่วนที่เปิดเผยและโผล่ออกมาได้
“เยี่ยเฟิง……”
ลำคอของเซี่ยวอวี่เซวียนราวกับสำลักก้างปลา และคำพูดนับพันคำก็กลายเป็นเป็นเพียงคำว่าเยี่ยเฟิงคำเดียว
เขาต้องการเดินเข้าไปเพื่อประคองเขา
แต่เยี่ยเฟิงกลับถอยหลังไปไม่หยุด โดยกลัวว่าจะสัมผัสกับเขา
เขาเดินโซเซและวิ่งไปยังวัดร้าง แต่เพราะรอยแผลที่สาหัสมากเกินไปทำให้เขาเป็นลมหมดสติไป
“ตุ่บ……”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นตระหนกหรือไม่ เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากและร่างกายของเขาก็สั่นคลอน
“เจ้าบาดเจ็บสาหัสมาก ข้าจะช่วยห้ามเลือดให้กับเจ้า”
“อย่าเข้ามา……อย่า……ขอร้องล่ะ……”
คำวินวอนขอร้องที่ที่ดูสิ้นหวังเปล่งออกมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง ทำให้กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เยี่ยเฟิงต้องการจะคลานขึ้นมา แต่เพราะบาดแผลที่สาหัสเกินไปทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
วิธีเดียวคือ ทำได้เพียงคลานไปที่วัดร้างช้าๆ
ร่างกายของเขายังมีมีดที่เสียบกลับด้านอยู่ เพราะการคลานเช่นนี้ ทำให้ด้ามมีดยิ่งกดลึกเข้าไปในผิวหนังของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกตัวและทำได้เพียงคลานไปให้ถึงวัดร้างให้เร็วที่สุด
เซี่ยวอวี่เซวียนทนดูไม่ได้และต้องการเข้าไปประคองเขา แต่กู้ชูหน่วนกลับห้ามเขาเอาไว้
แววตาที่เยือกเย็นของนางเผยให้เห็นความเจ็บปวด นางค่อยๆ อ้าปากพูด “เหลือศักดิ์ศรีความเป็นคนให้เขาหน่อยเถอะ”
ดูเหมือนว่าเซี่ยวอวี่เซวียนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา เพียงแต่ในใจยังคงรู้สึกตกใจ
ภายใต้แสงจันทร์ ชายผู้ที่มีเลือดอาบเต็มตัวกำลังคืบคลานไปยังวัดร้างทีละนิดๆ เขาคลายอย่างเชื่องช้า การคลานแต่ละครั้งราวกับเขาได้ออกแรงกำลังทั้งหมดในร่างกายของเขา
ตลอดทางที่ผ่านมานั้น พื้นดินมีร่องรอยของเลือดมาเป็นทางยาว
เป็นเวลานานกว่าที่เยี่ยเฟิงจะคลานเข้าไปในวัดร้าง
วัดร้างอยู่ในสภาพทรุดโทรมเป็นเวลานาน หน้าต่างก็พังไปนานแล้ว และลมหนาวก็พัดเข้ามาปกคลุม
ในแสงจันทร์ กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนมองเห็นเยี่ยเฟิงยืนพิงกำแพงและหายใจหอบราวกับว่าเขากำลังอดทนกับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอย่างมาก