“พวกเจ้าสองคนเร็วเข้า คนคอยปรนนิบัติเหล่านี้เป็นพวกที่คัดเลือกมาอย่างดี ถ้ามีอะไรผิดพลาดละก็ ต่อให้พวกเจ้ามีหนึ่งร้อยหัวก็ยังไม่พอให้ฟันทิ้ง”
“ขอรับๆๆ” กู้ชูหน่วนโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อมและตามอี้เฉินเฟยเข้าไปในกรงเลื่อนกรงหนึ่ง ดวงตาของนางฉายแววเย็นเยียบเมื่ออยู่ในจุดที่ลับสายตาคน
ถ้านางเดาไม่ผิด คนเหล่านี้น่าจะอยู่ในสถานะใกล้เคียงกับเยี่ยเฟิง พวกเขาทั้งหมดถูกจะส่งไปสร้างความเพลิดเพลินให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้
ไฟของกู้ชูหน่วนลุกโชนเมื่อนึกถึงเยี่ยเฟิงที่ถูกผู้นำกองธงกล้วยไม้ทำให้มีมลทินตั้งแต่อายุห้าขวบ
เนื่องจากทุกคนสวมหน้ากากโครงกระดูกและชุดโครงกระดูกเหมือนกัน ทั้งสองคนจึงปะปนไปกับกลุ่มคนได้โดยไม่มีใครสนใจ การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง
เพียงแต่เมื่อมาถึงเนินเขาลูกที่ห้า พวกเขาก็ถูกขวางไว้
นอกจากจะต้องแสดงตราคำสั่งแล้ว พวกเขายังต้องหยดเลือดของตัวเองลงไปในชามที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง
พวกลูกน้องของกองธงเผ่าปีศาจที่อยู่ด้านหน้าทยอยกัดนิ้วของตนเองและหยดเลือดลงในชาม หลังจากเลือดหยดลงไปในน้ำสะอาด กลิ่นเลือดคาวคลุ้งก็อบอวลขึ้นมาพร้อมกับกลุ่มควันสีดำ
กู้ชูหน่วนเหล่มองอี้เฉินเฟย พยายามส่งสายตาถามเขาว่าจะให้บุกเข้าไปตอนนี้หรือหาทางแฝงตัวเข้าไป
อี้เฉินเฟยมองนางด้วยแววตาสงบ เขากัดนิ้วของตัวเองและหยดเลือดลงไปในชาม ชามนั้นมีน้ำไม่ต่างกับของพวกกองธงคนอื่น เกิดควันดำและมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเหมือนกัน
“ผ่าน คนต่อไป”
คนต่อไปก็คือกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
ถ้านางเดาไม่ผิด คนของเผ่าปีศาจน่าจะต้องแช่สมุนไพรตลอดทั้งปีและรับยาพิษบางอย่าง ดังนั้นที่ร่างกายจึงมียาพิษอยู่
แล้วอี้เฉินเฟยผ่านเข้าไปได้อย่างไร
“มัวชักช้าอยู่ทำไม เร็วเข้า”
เมื่อเห็นว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้มีฝีมือจากเผ่าปีศาจมากมาย กู้ชูหน่วนจึงข่มใจกัดนิ้วของตัวเองและหยดเลือดลงไปในชาม
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ ทันทีที่เลือดของนางสัมผัสกับน้ำ ควันสีดำก็พวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
กู้ชูหน่วนเงยหน้ามองอี้เฉินเฟย
ทว่าอี้เฉินเฟยกลับไม่มีท่าทีแปลกใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาเดาได้อยู่แล้ว
“ต่อไปก็เดินเร็วๆ หน่อย ช่วงนี้ปรมาจารย์เจียงยิ่งอารมณ์ไม่ดี ระวังเขาจะเอาชีวิตของเจ้าไปเสียละ”
“ขอรับๆๆ”
กลับมาอยู่ในกรงเลื่อนอีกครั้ง
สุดท้ายกู้ชูหน่วนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี นางกับเขาไม่ได้ถูกวางยาพิษ เหตุใดจึงมีควันพิษในร่างกายเหมือนคนอื่นๆ
“ขอร้องละ พวกท่านปล่อยข้าเถิดนะ ข้ายังมีพ่อแม่แก่ชราที่ป่วยหนักและน้องชายน้องสาวที่ต้องดูแล ถ้าไม่มีข้าพวกเขาไม่มีทางมีชีวิตอยู่ได้แน่ ขอร้องล่ะ ได้โปรด…” เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีคนหนึ่งขดตัวอ้อนวอน
เขาเอาหัวโขกพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งที่มือถูกมัดไว้ด้านหลัง
เด็กหนุ่มคนอื่นอยากจะอ้อนวอนบ้าง แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ร่างกายพวกเขาจึงสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่และทยอยล้อมเข้ามาทีละคน
ผู้ดูแลเตะเด็กหนุ่มที่ร้องขอความเมตตาจนตัวโยนและเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนอยู่ระหว่างทางเจ้าเป็นคนที่พูดมากที่สุด พอเข้ามาเผ่าปีศาจแล้วยังคิดจะออกไปงั้นรึ ไม่มีทางให้ออกไปแล้วโว้ย”
“ได้โปรด… ขอร้องล่ะ คนในครอบครัวของข้ายังป่วยหนัก ข้าจำเป็นต้องหาเงินมาซื้อยาให้พวกเขา”
“เมื่อเข้ามาในเผ่าปีศาจ เจ้าจะไม่มีครอบครัวอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เจ้าทำได้คือคอยปรนนิบัติผู้นำกองธงกล้วยไม้ให้ดี ถ้าผู้นำกองธงอารมณ์ดี เจ้าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างอยู่ดีกินดี ร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ถ้าปรนนิบัติไม่ดีละก็ ฮึ… ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าได้ตายทั้งเป็นแน่”
หยาดน้ำตาพร่างพราวหยดลงมาจากหางตาของเด็กหนุ่ม ราวกับว่าเขากำลังหาทางกระโดดลงไป
แต่สายรางอยู่ห่างจากพื้นดินมากกว่าสิบเมตร ถ้ากระโดดลงไปร่างกายเขาจะต้องแหลกอย่างแน่นอน เขาไม่มีทางลงไปได้เลย