ณ จุดพักรถม้าของคณะทูตรัฐจ้าว
กู้ชูหน่วนกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในห้องนอนของอี้เฉินเฟย
นางเอามือกอดอก พลางพิงประตู ใบหน้ายิ้มมองเบื้องล่างอย่างเกียจคร้าน ซึ่งกำลังมองอี้เฉินเฟยอาบน้ำอยู่
ไอหมอกจากน้ำร้อนลอยตลบอบอวล ดวงตาคู่ที่ไม่คิดปกปิดจ้องมองเขา ยากนักที่อี้เฉินเฟยจะไม่รู้ตัว เขายกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างขมฝาด
“คุณหนูสาม ท่านบุกจุดพักม้ายามวิกาลเช่นนี้ เพื่อจะมองข้าอาบน้ำหรือ?”
“ภาพบุรุษงามอาบน้ำน่าจะหล่อเลี้ยงดวงตาได้ดีเยี่ยมเลย”
ใบหน้าอี้เฉินเฟยแดงระเรื่อ
ร่างกายเขาเปลือยเปล่า ส่วนกู้ชูหน่วนพิงอยู่ที่ประตูด้วยเสื้อผ้าครบครันและสะอาดเรียบร้อย จ้องเขาอย่างไม่กระพริบตา ทำให้เขากระอักกระอ่วนจริงแท้
เขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ให้ข้าเปลี่ยนเสื้อก่อนได้ไหม”
“เจ้าเปลี่ยนของเจ้าสิ ข้าไม่ได้ขวางสักหน่อย”
“……”
นางจ้องอยู่ตรงนั้น แล้วเขาจะเปลี่ยนได้อย่างไร?
ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น กู้ชูหน่วนก็หมุนกายกะทันหัน
หลายวันก่อนเขาทำตัวโอหังยิ่งนัก ยามนี้คว้าโอกาสมาได้อย่างยากเย็น ไหนเลยจะไม่ให้นางหยอกเย้าเขาเล่นเสียหน่อย
มือขวาเคลื่อนไหว อาภรณ์ขาวสะอาดดั่งหิมะพลันอยู่ในมือ อี้เฉินเฟยสวมเสื้ออย่างสง่างาม จากนั้นก็แขวนหยกบริเวณเอว แล้วค่อย ๆ เดินไปหากู้ชุหน่วน
“คุณหนูสาม ที่อุตส่าห์มาเยือนนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรชี้แนะ”
เขาพึ่งอาบน้ำเสร็จ ผมดกดำยังไม่แห้ง เดิมที่มีหน้าตาคล้ายเทพบุตรอยู่แล้ว ยามนี้ใบหน้าแดงก่ำด้วยไอร้อนของน้ำ ช่างสะกดสายตายิ่งนัก
กู้ชูหน่วนอดยื่นมือออกไปไม่ได้ ก่อนจะลูบจับผิวอันเนียนนุ่มของเขา
“แม้แต่สตรีอย่างข้ายังอิจฉาผิวของเจ้าเลย”
“เช่นนี้ก็เป็นเกียรติของข้าน้อยอี้ล่ะสิ”
กู้ชูหน่วนเข้าไปในห้อง พลางมองสำรวจห้องของเขาหนึ่งรอบ
เขาเป็นคนถ่อมตัวและมีมารยาท แลดูมีการศึกษาและสง่างาม ห้องนอนของเขามีกลิ่นอายของตำรา แค่อยู่เฉย ๆ ที่นี่ก็ให้ความรู้สึกสบายอกสบายใจเสียแล้ว
กู้ชูหน่วนเอ่ยปากพูดโดยตรง “ข้าอยากให้เจ้าไปเป็นเพื่อนที่ดินแดนเผ่าปีศาจ”
“คุณหนูสามคงหาผิดคนแล้ว ข้าน้อยอี้เป็นบัณฑิต นอกจากอ่านบทกวีแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นเลย เผ่าปีศาจนั้นร้ายกาจมาก ข้าน้อยอี้จะมีฝีมือไปเป็นเพื่อนคุณหนูสามได้เยี่ยงใด”
“ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าเจ็ดวัน ตอนนี้ยังไม่ครบเจ็ดวัน พี่ใหญ่เฉินเฟยคิดจะกลับคำหรือ”
“ดังนั้นท่านจึงมั่นใจว่าข้าจะไปเป็นเพื่อนด้วย”
“แน่นอน”
“ทำไมต้องเป็นข้าด้วย”
“เพราะเจ้าหน้าตาดี” กู้ชูหน่วนคลี่ยิ้ม จูงมืออี้เฉินเฟยแล้วปีนกำแพงออกไป
อี้เฉินเฟยยิ้มอย่างชอบใจ ริมฝีปากแดงอ้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านชอบปีนกำแพงแบบนี้ เทพสงครามของท่านไม่ควบคุมท่านหรือ?”
“เขาขาแพลง ตามข้าไม่ทันหรอก และควบคุมไม่ได้ด้วย”
กู้ชูหน่วนสื่อสายตาให้เขานำทาง
อี้เฉินเฟยสะบัดเส้นผมเปียกปอนไปด้านหลัง พลางถามว่า “เผ่าปีศาจไม่ได้เล็กไปกว่ารัฐเยี่ยเลย นอกจากหน่วยหลักของเผ่าปีศาจแล้ว ยังมีอีกสิบสองหน่วย โดยมีผู้นำกองธงทั้งสิบสองเป็นผู้ดูแล ไม่ทราบว่าคุณหนูสามอยากไปส่วนไหนของเผ่าปีศาจ”
“เจ้ารู้จักผู้นำกองธงกล้วยไม้ไหม”
“ก็พอจะรู้บ้าง”
“ข้าจะไปที่ผู้นำกองธงกล้วยไม้”
“หน่วยธงกล้วยไม้”
“ใช่ ที่นั่นแหละ”
“หน่วยธงกล้วยไม้ตั้งอยู่ในภูเขาพิศวิญญาณในเขตตอนเหนือของรัฐเยี่ย ที่นั่นใกล้กับเมืองหลวง หากเร่งเดินทางคงไปถึงในสองสามชั่วยาม”
“เช่นนั้นพวกเขาก็รีบไปกันเถอะ”
อี้เฉินเฟยกลับไม่เคลื่อนไหว หากแต่กล่าวอย่างขึงขังจริงจัง
“ถึงแม้ภูเขาพิศวิญญาณจะไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก แต่ภูเขาลูกนั้นมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดปี อากาศเป็นพิษด้วย ทั้งยังตั้งกลไกและค่ายกลไว้มากมาย หากคนทั่วไปบุกเข้าไปก็ยากจะหนีรอดออกมาได้”
“วรยุทธผู้นำกองธงกล้วยไม้นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ไม่มีผู้ใดสู้เขาได้ ลือกันว่า วรยุทธของเขาไล่เลี่ยกับวรยุทธของจอมมารแห่งเผ่าปีศาจเชียวนะ การไปปะทะกับเขา ไม่ใช่เชาวน์ปัญญาเลย”
กู้ชูหน่วนแสยะยิ้ม “คนอย่างข้าชอบท้าทายความลำบาก”