นักฆ่าโลหิตตะลึง เขาใช้ความคิดอยู่นานพอควร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าแม่นางกู้มีหน้าตาคล้ายสหายเก่าของนายท่านคนใด
เขาติดตามนายท่านตั้งแต่ยังเยาว์วัย นายท่านดูเหมือนจะ…ไม่มีสหายคนใดเลยนะ…
นักฆ่าโลหิตก้มหัวมิกล้าออกเสียงใด ๆ แล้วรอคำสั่งจากเขาอย่างเงียบ ๆ
แต่ทว่าจอมมารกลับมิยอมสั่งการใด ๆ ลงไป เพียงแค่พูดออกมาเบา ๆ ราวกับว่าพึมพำกับตนเองอยู่ปานนั้น “นางมิคล้ายหญิงสาวคนนั้นเช่นกัน หญิงสาวคนนั้นเบิกบานกว่านางมาก ที่เหมือน…ก็มีเพียงดวงตาคู่นั้นเท่านั้น”
หญิงสาว?
หัวหน้านิกายเทพอสูรอย่างนั้นรึ?
นายท่านได้สังหารนางทิ้งแล้วมิใช่หรือ?
เป็นการเงียบที่นานพอควรอีกครั้ง นักฆ่าโลหิตกล่าวอย่างระวัง “นายท่าน ผู้นำกองธงดอกซิ่งเองที่รั่วไหลเรื่องที่ท่านเจ็บหนักเพราะสู้กับหัวหน้านิกายเทพอสูรและใช้พลังในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ป่าไผ่ขอรับ”
“ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตีพระราชวังนั้นมีผู้นำกองธงดอกซิ่ง ผู้นำกองธงดอกท้อ ผู้นำกองธงทับทิมและผู้นำกองธงดอกบัว รวมทั้งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาและคนอื่น ๆ มิทราบว่านายท่านมีวิธีจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไรหรือขอรับ”
“พวกไร้ประโยชน์ กล้าแว้งกัดเจ้านาย ฆ่าทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง”
“ฆ่าผู้นำกองธงทั้งสี่…เลยหรือขอรับ?” นักฆ่าโลหิตหายใจเร็วขึ้น
ฆ่าสี่ผู้นำกองธงในสิบสองผู้นำกองธงเช่นนี้ มิเป็นการนองเลือดครั้งยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจหรอกหรือ
“ในบ่าวชั้นต่ำสองคนนี้ ใครเป็นคนดูแลศาลกัน?”
“ดูเหมือนผู้นำกองธงเบญจมาศจะเป็นผู้ดูแลศาลขอรับ”
“งั้นหรือ…”
จอมมารเด็ดดอกเบญจมาศโอรสที่สดใหม่ขึ้นมาหนึ่งดอก ถือไว้ในมือและเล่นอย่างไม่สนใจ มุมปากเผยรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัวขึ้นมา จากนั้นก็บดขยี้ดอกเบญจมาศจนแหลกสลาย “วันนี้ข้ามิชอบหน้าเขานัก ฆ่าทิ้งด้วยเลยแล้วกัน”
นักฆ่าโลหิตหายใจเข้าลึก ๆ
เพียงเพราะทหารยามสองนายนั้นพูดถึงผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา จึงได้รบกวนเวลาของนายท่านกับแม่นางกู้เท่านั้น เพราะเช่นนั้น ความโกรธของนายท่านจึงได้ไปลงกับผู้นำกองธงเบญจมาศอย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้นจะรู้สึกว่าผู้นำกองธงเบญจมาศจะได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องที่ตนมิได้ทำ และแบกรับความผิดอย่างงุนงง แต่นักฆ่าโลหิตก็ยังคงน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
สิบสองผู้นำกองธง ถูกฆ่าไปห้าผู้นำกองธง แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่สะท้านโลกาอย่างแน่นอน
รูปแบบของเผ่าปีศาจก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงนับแต่บัดนี้
จอมมารกวาดไปยังทิศทางที่กู้ชูหน่วนจากไป กลิ่นอายมืดมนบนร่างกายจางลงเล็กน้อย เมื่อเขายิ้ม ทุกสรรพสิ่งบนโลกก็จะสูญเสียสีไป
เพียงแค่เขากวาดมือขวาออกไป ก็มีอักษรบรรทัดหนึ่งปรากฏบนกำแพงหิน “ท่านพี่ คอยข้าก่อนเถิด อีกสองสามวันข้าจะไปหาท่านนะ”
“ไปกันเถิด”
“ขอรับ…”
นักฆ่าโลหิตปาดเหงื่อของตน
มิรู้จริง ๆ ว่านายท่านคิดอย่างไร
ก่อนหน้าแสร้งว่าตนไร้วิทยายุทธ ใสซื่อและไร้เดียงสา
แต่ตอนนี้…
อักษรบนกำแพงหินนี้…
ผู้ใดเห็นเข้าก็รู้ได้ทันทีเลยว่า มันถูกสลักโดยปรมาจารย์ที่มิมีผู้ใดอาจเทียบเทียมได้
นักฆ่าโลหิตจงใจเตือนเขา เมื่อนึกถึงลักษณะนิสัยของนายท่านของตนแล้ว คำพูดที่ติดอยู่ในปากของเขาก็กลั้นไว้
ในเมื่อนายท่านจัดการเรื่องใด ๆ ก็มิเคยจัดการอย่างมีเหตุผลอยู่แล้ว เขาเองก็คุ้นเคยแล้วล่ะ
ในห้องนอนที่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอาศัยอยู่
กู้ชูหน่วนคลำไปตลอดทางและหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา
ทั้งวังเงียบสงบ เงียบเสียจนรู้สึกระแวง มีเพียงห้องนี้เท่านั้นที่มีเสียงดังออกมา
“ปล่อยข้านะ ข้าเป็นคนของผู้นำกองธงกล้วยไม้ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ผู้นำกองธงต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้เป็นแน่”
“หึ…เจ้าคิดว่าข้ากลัวเขาอย่างนั้นหรือ?ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เสีย ผู้นำกองธงหลายท่านมิพอใจเผ่าปีศาจมานานแล้ว หากมิใช่ว่าครั้งนี้จอมมารนั้นโชคดี หนีออกไปได้ มิเช่นนั้นคนต่อไปที่ต้องตายก็คือผู้นำกองธงกล้วยไม้นั่นแหละ”
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกและก่อกวนหุบเขาพิศวิญญาณ ทำให้หุบเขาพิศวิญญาณวุ่นวายไปหมด เจ้าคิดว่าเขาจะยังปกป้องเจ้าเหมือนเคยอย่างนั้นหรือ?เยี่ยเฟิงเอ๋ยเยี่ยเฟิง หากเจ้าเชื่อฟังข้าเสียหน่อย เจ้าก็ยอมจำนนต่อข้าแต่โดยดี เพียงแค่ปรนนิบัติข้าให้ดี ข้ารับรองว่าชีวิตของเจ้าในภายหน้า จะต้องสบายอย่างแน่นอน”
“เจ้าจะทำอันใด อย่าแตะต้องข้านะ…”
เป็นเสียงของเยี่ยเฟิง
กู้ชูหน่วนมองทะลุผ่านหน้าต่างเข้าไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็โกรธมากเสียจนจะผลักภูเขาพลิกทะเลก็มิปาน