“เด็กโง่ แม้นอารมณ์ไม่ดีปานใดก็ไม่ควรกัดมือของตัวเอง”
“ขอรับ” เยี่ยเฟิงอ้าปากเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้อย่าพึ่งสัมผัสน้ำ อีกไม่กี่วันคงหายดี”
เยี่ยเฟิงมองมองผ้าพันแผลเต็มสองมือตัวเอง ความตื้นตันใจพลันผุดขึ้นมา
เขาอยากบอกว่า เมื่อเทียบกับบาดแผลเมื่อก่อน อาการเช่นนี้ไม่เรียกว่าบาดแผลหรอก และไม่ต้องเป็นห่วงเขาด้วย
ทว่าเขาไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ได้แต่ขานรับว่าขอรับอย่างเชื่อฟัง
อัครมเหสีฉู่เก็บหีบยาขึ้นมา ทว่าไม่ระวัง หีบยาไปปัดแขนเสื้อของเยี่ยเฟิงเข้า จากนั้นก็เผยรอยแผลเต็มแขนเยี่ยเฟิง
ที่แขนมีทั้งรอยลวก รอยเฆี่ยน รอยจากโลหะของร้อน รอยกระบี่และรอยง้างผสมปนเปกัน และมีหลายจุดที่ถูกกัดเนื้อทิ้ง เรียกได้ว่าหาจุดเรียบ ๆ ไม่เจอเลย
อัครมเหสีฉู่กับซิ่งเอ๋อร์ต่างพากันสูดลมหายใจเย็นเข้า สีหน้าซีดขาวในบัดดล
เยี่ยเฟิงรีบดึงแขนเสื้อลงอย่างลุกลน แววตาเย็นยะเยือกไม่ได้นิ่งเฉยอีกต่อไป
เขาไม่รู้ว่าอัครมเหสีฉู่เห็นรอยแผลบนแขนของตนหรือไม่ ได้แต่อธิบายอย่างร้อนรนว่า “ข้าเป็นคนหนังหนา แผลพวกนี้……”
ซิ่งเอ๋อร์แย่งเขาพูดกะทันหัน “โอ้สวรรค์ ท่านเป็นใครกันแน่เจ้าค่ะ เหตุใดจึงมีรอยแผลมากมายเยี่ยงนี้?”
อัครมเหสีฉู่เห็นเยี่ยเฟิงหน้าเปลี่ยนสี จึงรีบปรับอารมณ์ของตน ก่อนจะพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น เพื่อไว้หน้าเยี่ยเฟิง
“ร่างกายคุณชายน้อยมีรอยฟันมากจริงแท้ วันหน้าแม้นจะเสียใจหรือโมโหเพียงใดก็อย่าได้กัดอีก เจ้าทำตัวพิรี้พิไรอะไรแถวนี้ ไยไม่ถอยไปอีก”
“ฮูหยิน เขาไม่เพียงมีรอยฟันเท่านั้น เขา……”
“เจ้านี้ไร้มารยาทขึ้นทุกวัน เวลาเจ้านายพูดคุย เจ้ามีสิทธิ์พูดแทรกเสียที่ไหน หากยังไม่ถอยลงไป วันหลังก็ไม่ต้องมาปรนนิบัติข้าแล้ว”
ซิ่งเอ๋อร์รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
วันนี้พระนางทรงพระพิโรธนางหลายหนแล้ว
หากยังไม่ถอย ถ้าเกิดพระนางไม่ต้องการนางขึ้นมา แล้วนางจะทำเช่นไรดี?
ซิ่งเอ๋อร์ไม่กล้าชักช้า ย่อกายคำนับเสร็จก็พาใบหน้าซีดเผือดของตนไปยืนรอในบริเวณที่ไกลออกไป
“ข้าให้ท้ายซิ่งเอ๋อร์จนนิสัยเสีย ช่วงนี้พูดจาเหลวไหลมากเกินไป พรุ่งนี้ข้าจะสั่งสอนให้หลาบจำ ”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
เยี่ยเฟิงไม่มั่นใจว่าอัครมเหสีฉู่เห็นรอยแผลของตนหรือไม่
“รีบกินเถอะ” อัครมเหสีฉู่คีบรากบัวให้เขาอีกชิ้น
“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”
ทั้งสองกินอาหารสามจานร่วมกัน ไม่นานก็กินหมดเกลี้ยง
ครั้งนี้อัครมเหสีฉู่กินได้เยอะที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ข้ารับใช้ที่เก็บถ้วยกับตะเกียบ ล้วนรู้สึกตกตะลึง
อัครมเหสีฉู่กล่าวแย้มยิ้ม “อาหารที่คุณชายน้อยทำ ช่างอร่อยจริง ๆ ”
“หากฮิหยินชอบ ข้าสามารถทำให้กินได้ทุกวันเลยขอรับ”
กล่าวจบ เขาก็เสียใจในคำพูดทันควัน
เขาอยู่ในฐานะอันใด มีคุณสมบัติทำอาหารให้อีกฝ่ายกินทุกวันได้อย่างไร
คาดไม่ถึงว่าอัครมเหสีฉู่กลับตอบอย่างเบิกบาน “หากคุณชายน้อยทำให้ข้ากินทุกวัน เช่นนั้นก็ถือว่าชาติที่แล้วข้าทำบุญมาเยอะ”
อัครมเหสีฉู่มองใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยเฟิง มองยิ่งก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตา พระองค์รู้สึกหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับสามีในวัยหนุ่มมาก
โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ เพียงแต่แววตาของสามีเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน
ส่วนดวงตาของเขากลับเซื่องซึม อ้างว้างเดียวดาย และยังเจือความรู้สึกตนเองต้อยต่ำไว้ในทีด้วย
ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง ถึงได้มีรอยแผลเต็มตัว ทั้งยังใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยชื่ออะไร อายุเท่าไหร่”
“ข้าน้อยชื่อเยี่ยเฟิงขอรับ ปีนี้…….ปีนี้อายุสิบเก้าขอรับ” เดิมทีเขาอยากบอกว่าสิบแปด ทว่าเกรงว่าพระองค์จะคลางแคลงใจ ดังนั้นจึงเพิ่มอายุเข้าไปหนึ่งปี
อัครมเหสีฉู่รู้สึกห่อเหี่ยวใจ บ่นกระปอดกระแปดกับตัวเองว่า “สิบเก้าแล้วหรือ…….”
บุตรชายของพระองค์อายุสิบแปด ดังนั้นอายุไม่ตรงกัน