สำหรับกู้ชูหน่วนแล้วทุกครั้งที่พบกันเขานั้นต้องการบีบนางให้ตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่ทุกครั้งเขาก็ใจอ่อน
เยี่ยจิ่งหานกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “จับกู้ชูหน่วนเอาไว้ จับนางไม่ได้พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยจิ่งหานเหลือบมองอัครมเหสีฉู่ที่ทรงพระทัยล่องลอยไม่อยู่กับองค์และจากไปอย่างโกรธเคือง
อัครมเหสีฉู่ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเจ้า พวกเจ้า”
“ฮูหยิน……”
“สืบ สืบให้ข้าให้ชัด ข้าจำต้องรู้เรื่องราวชาติกำเนิดทั้งหมดของเยี่ยเฟิง ห้ามตกหล่นเลยแม้แต่เรื่องเดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ออกเดินทาง พวกเราก็ไปยังหมู่บ้านเสี่ยวเหอ เร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะ……”
วัดไป๋อวิ๋น วัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองชิงหง
ผู้คนที่ได้มารวมตัวกันจากทั่วทุกที่เมื่อครู่นี้ ในชั่วพริบตาก็หายไปกันหมดซะแล้ว
บนถนนสายหลักไปสู่หมู่บ้านเสี่ยวเหอ รถม้าสองคันหน้าหลังพุ่งทะยานไป
ยอดฝีมือเป็นสิบนอกรถม้าขี่ม้าเร็วคุ้มกันส่งไป
พวกเขาจัดแถวกันอย่างเป็นระเบียบ สายตาอันชำนาญพร้อมกับขี่ม้าเหงื่อโลหิตทั้งสิ้นดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่ในรถม้าคันแรก
เยี่ยเฟิงนั่งอยู่ในรถม้าคันที่สอง
เยี่ยเฟิงเป็นกังวลยิ่งนักจนแทบจะรอไม่ไหวที่จะกลับไปยังหมู่บ้านเสี่ยวเหอในทันที เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงก็ถูกคนของเยี่ยจิ่งหานขวางเอาไว้
ประการที่สองร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี ขี่ม้าเร็วชั่วครู่ก็กระทบบาดแผลบนร่างกายเกิดเลือดไหลรินลงมา กู้ชูหน่วนปฏิเสธที่จะให้เขาขี่ม้าเร็วจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ในรถม้าเพื่อกลับไป
เมื่อมองไปยังทิศทางอันไกลโพ้นของหมู่บ้านเสี่ยวเหอ มือทั้งคู่ของเยี่ยเฟิงสั่นเทาไม่หยุดหย่อน ยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านเสี่ยวเหอใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นสุข
ในรถม้าคันแรก
กู้ชูหน่วนชงชาหิมะถ้วยหนึ่งให้เยี่ยจิ่งหาน กระพริบดวงตาขนาดใหญ่และกล่าวด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ข้าพูดผิดไปแล้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่จิตใจกว้างขวาง อย่าได้ถือสากับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างข้าดีหรือไม่”
เยี่ยจิ่งหานเงยหน้าออกไปนอกหน้าต่างปฏิเสธคำขอโทษของนางและปฏิเสธชาหิมะของนางด้วย
กู้ชูหน่วนโน้มตัวไปตรงหน้าเขาและยกชาหิมะให้อีกครั้ง “ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่กล่าวข้อที่สามกับท่านว่า……”
“ชู่ว์……”
ยังไม่ทันกล่าวจบ อุณหภูมิในรถม้าก็ลดลงบางส่วน
กู้ชูหน่วนหุบปากลงอย่างชาญฉลาด
ชายหยิ่งผยองผู้นี้ก็ตระหนี่เกินไปแล้ว
ก็แค่กล่าวเท่านั้นก็ไม่ได้เล็กลงจริงๆสักหน่อย
“ท่านอ๋อง ท่านนั้นไม่รู้ว่าตอนที่ท่านยังไม่มาเผชิญหน้ากับผู้นำกองธงกล้วยไม้ข้าหวาดกลัวเพียงใด ข้ากลัวว่าจะเหมือนเช่นเดียวกับเยี่ยเฟิงถูกจับไปยังภูเขาพิศวิญญาณ จะไม่เป็นการทำให้ท่านเสียหน้าหรอกหรือ”
ความโกรธของเยี่ยจิ่งหานมิได้จางหายไปกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เขาหัวเราะเยาะ
หวาดกลัว?
เขาไม่เห็นนางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่กลับเห็นความหยิ่งผยองอันมากมายของนาง ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดจึงผยองได้เพียงนั้น
“ท่านอ๋อง ชาหิมะนี้หากไม่ดื่มอีกจะเย็นเสียแล้ว”
เยี่ยจิ่งหานยังคงเงยหน้าขึ้นอยู่
รอยยิ้มประจบสอพลอบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนหายไปในทันใด ชาหิมะในมือถูกวางลงบนโต๊ะด้วยความแรงจนชาหิมะได้ล้นออกมาเลยโดยตรง
“เยี่ยจิ่งหาน โมโหก็ต้องมีขอบเขต อย่าได้ทำหน้าบูดบึ้งทั้งวันราวกับผีดิบอายุพันปีเช่นนั้น”
ด้านนอกรถม้า ชิงเฟิงกับเจี้ยงเสวี่ยไร้คำพูดซะแล้ว
ในโลกนี้ก็มีนางเพียงผู้เดียวที่กล้าพูดกับนายท่านเช่นนี้
นายท่านอยู่ในอารมณ์โกรธ เกลี้ยกล่อมสักหน่อยก็คงจะดีแล้ว?
ที่สำคัญนายท่านต้องการสังหารนางนั้นยังจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้หรือ?
เมื่อนึกถึงนายท่านได้ยินข่าวว่าคุณหนูสามกู้พาอี้เฟยอวิ๋นบุกเข้าไปในภูเขาพิศวิญญาณ แม้ว่านายท่านจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดแต่ก็ผู้น้อยรายงานข่าวคราวล่าสุด
หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวมาว่าคุณหนูสามกู้บุกเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขากลืนวิญญาณ นายท่านก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปและได้เร่งไปที่เมืองชิงหงในชั่วข้ามคืนโดยที่กลัวว่านางจะพบเข้ากับจอมมาร
นางกลับพบเข้าแล้ว
แต่ว่านางไม่เพียงแต่ไม่ถูกจอมมารสังหาร
แต่กลับทำให้จอมมารตกหลุมนาง
นายท่านโกรธจนสีหน้าเขียวเลย
หมายเหตุ
ม้าเหงื่อโลหิต เป็นม้าสายพันธุ์หนึ่ง ตามตำนานกล่าวกันว่าม้าพันธุ์ดังกล่าวยามที่ออก
วิ่ง บริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมา เป็นสีแดงสดคล้ายเลือด