นัยน์ตาอันแดงก่ำของเยี่ยจิ่งหานจ้องมองไปที่นางอย่างเยือกเย็น นัยน์ตาคู่นั้นลึกล้ำมากจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แต่ในขณะนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยความโกรธที่กำลังจะลุกไหม้
ไม่ต้องสงสัยเลย เพียงแค่เล็กน้อย ไฟกองนั้นก็จะกลายเป็นไฟเผาผลาญทุ่งจนไม่สามารถควบคุมได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร?” คำพูดที่แผ่วเบาแฝงไปด้วยคำเตือน
กู้ชูหน่วนยิ้มและเปลี่ยนท่าทีในทันที นางกอดต้นขาของเยี่ยจิ่งหานอย่างรวดเร็ว และความงดงามของหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ก็ผลิบานบนใบหน้าของนาง
“ข้ารู้ ไม่ได้พบท่านนานแล้ว ข้าคิดถึงท่าน”
ประโยคง่าย ๆ ที่ดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ย ทำให้ไฟแห่งความโกรธของเยี่ยจิ่งหานมอดลง
“ท่านอ๋อง ท่านอย่าโกรธเลย ขมวดคิ้วมาก ๆ จะทำให้แก่เร็ว”
“ปล่อยมือ” เยี่ยจิ่งหาน
“ไม่ปล่อย ๆ” ในขณะที่พูด กู้ชูหน่วนก็กอดแน่นขึ้นอีก แล้วเอาหน้าแนบลงไป
“……”
“ปกติแล้วเจ้าทำกับชายอื่นเช่นนี้หรือไม่?”
“ไม่เพคะ ข้าทำแค่กับท่าน”
“เหอะ……อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าทำเรื่องดีงามอะไรไว้บ้าง” เยี่ยจิ่งหานไม่ได้สะบัดนางออกไป แม้ว่าเขาจะยังโกรธอยู่ แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้อึมครึมและน่ากลัวเหมือนเมื่อครู่
“ข้าทำเรื่องดีงามไว้มากมาย เช่นข้าช่วยผู้ปรนนิบัติหลายคนออกมาจากหุบเขาพิศวิญญาณ อีกทั้งข้ายังช่วยเยี่ยเฟิงและอาม่อด้วย นี่นับว่าเป็นการสั่งสมคุณูปการแทนท่านหรือไม่”
เยี่ยจิ่งหานจ้องเขม็งไปที่นาง ราวกับว่ากำลังพยายามคาดเดาอะไรบางอย่างจากสีหน้าของนาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่เจ้าเรียกว่าอาม่อเป็นใคร?”
“รู้สิ น้องชายของข้า……นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ใช้ความสามารถของตัวเองช่วยผู้อื่น ท่านอ๋อง ท่านรู้สถานะของเขาใช่หรือไม่?หากท่านรู้ก็บอกข้ามาเถอะ”
“ไม่รู้”
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะในใจ
ไม่รู้?
โกหกใครกัน
คิดว่านางเป็นเด็กอายุสามขวบงั้นหรือ?
“ต่อไปอยู่ให้ห่างจากเขา”
“ทำไม……”
“หากเจ้าเข้าใกล้กับเขาอีก ข้าจะหักขาของเจ้า คนพิการกับคนพิการก็เหมาะสมกันดี”
“ได้อย่างไรกัน พิการทั้งสองคน เมื่อออกไปข้างนอกผู้อื่นคงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ ข้าคิดว่าท่านพิการต่อไปก็ดีแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องพิการด้วย”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” นัยน์ตาอันเยือกเย็นของเยี่ยจิ่งหานหรี่ลงเล็กน้อย
“ข้าบอกว่าอีกไม่นานขาของท่านก็คงจะหายดี และท่านก็ไม่ต้องพิการแล้ว”
กู้ชูหน่วนรินน้ำชาและยื่นให้เขา “ท่านอ๋อง ข้าชงชานี้อย่างยากลำบาก ตอนที่ต้มน้ำร้อนยังทำน้ำร้อนลวกมือซ้ายของตัวเอง ท่านดื่มเสียหน่อยเถิด ดีหรือไม่?ถือว่าเห็นแก่หน้าของข้า”
เยี่ยจิ่งหานแอบมองไปที่มือซ้ายของนาง แต่นางซ่อนมือซ้ายไว้ในแขนเสื้อ จึงไม่เห็นว่านางถูกน้ำร้อนลวกที่ใด
เขายังไม่ได้คิดว่าจะรับชาของนางดีหรือไม่ แต่กู้ชูหน่วนก็ยัดมันในใส่มือของเขาแล้ว
“รีบดื่มเถิด”
เยี่ยจิ่งหานหยิบน้ำชาขึ้นมาจิบและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
นี่มันชาอะไร ทั้งเย็นทั้งฝาดทั้งขม ดื่มไม่ลงเลยจริง ๆ เขาสงสัยว่าความจริงแล้วกู้ชูหน่วนใส่ชาลงไป โดยไม่ได้รอให้น้ำเดือด
“ท่านอ๋อง ท่านดื่มชาแล้ว เมื่อไหร่ท่านจะส่งคนไปปกป้องท่านยายเยี่ยและชาวบ้านที่หมู่บ้านเสี่ยวเหอ?”
มือข้างที่ถือชาของเยี่ยจิ่งหานสั่น
เขารู้อยู่แล้วว่าชาถ้วยนี้ ‘ไม่อร่อย’’
เขาวางชาในมือลงอย่างเบื่อหน่ายและกล่าวเบา ๆ ว่า “ชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านเสี่ยวเหอเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
“แน่นอนว่าย่อมเกี่ยว ท่านเป็นท่านอ๋องและเป็นเทพแห่งสงครามของรัฐเยี่ย พวกเขาล้วนแต่เป็นราษฎรของท่าน”
“ข้าไม่ใช่จักรพรรดิของรัฐเยี่ย”
“ท่านอ๋องเป็นที่เลื่องลือว่าอยู่ยงคงกระพัน เป็นเทพแห่งสงครามผู้ไร้พ่าย ท่านปกป้องรักษาดินแดนของรัฐเยี่ยมานานหลายปี ไม่ใช่เพื่อปกป้องครอบครัวและรัฐหรือ?ผู้คนในหมู่บ้านเสี่ยวเหอเป็นราษฎรของรัฐเยี่ย แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ที่ท่านปกป้อง”
“อีกอย่างท่านอ๋องก็ทรงเป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรม ห่วงใยเหล่าราษฎร ท่านจะต้องไม่ปล่อยให้พวกเขาประสบเภทภัยอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”
เยี่ยจิ่งหานไม่สบอารมณ์และกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงเป็นกังวลเรื่องของเยี่ยเฟิงมากเช่นนี้?หรือว่าเจ้าจะชอบเยี่ยเฟิงจริง ๆ ?”