กู้ชูหน่วนหัวเราะด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
เกิดความเมตตากรุณาอะไรล่ะ เพียงแค่ตักเตือนให้เยี่ยเฟิงเชื่อฟังคำสั่งของเขาเท่านั้น ไม่เช่นนั้น เพียงแค่เขาต้องการเขาก็สามารถทำให้เขาแทบตายทั้งเป็นได้ทุกเมื่อ
น่าขยะแขยง
ช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน
ทำไมคนต่ำช้าเช่นนั้นถึงไม่ไปตาย
“รู้สึกว่าข้าเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่ามากเลยใช่หรือไม่?”
“ไม่เลย”
“ข้าเป็นเพียงของเล่นสำหรับให้คนอื่นเล่นและเหยียบย่ำก็เท่านั้น เพื่อการมีชีวิตอยู่ เพื่อถูกทรมานน้อยลง ข้าจึงต้องก้มหัวและถ่อมตัว ผู้ที่ต่ำต้อยอย่างข้า ไม่ควรมีชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ ข้าถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีทั้งหมดของข้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไปแล้ว”
“ไม่ เจ้าเป็นคนกล้าหาญมากและมีความรับผิดชอบมาก หากเป็นคนอื่นคงตายไปนานแล้ว การมีชีวิตอยู่เป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าการตายเสมอ ยิ่งไปกว่านั้น……”
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีเช่นนั้น
เขาให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของตัวเองมากกว่าคนอื่น
ตั้งแต่ที่เกิดมาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกข์ทรมานโหดร้ายเช่นนั้น
ตั้งแต่อายุห้าขวบ แขนตั้งสองข้างของเขาก็ถูกหักลงและถูกกักขังเพื่อรับกับความทุกข์ทรมาน
แต่เขายังรักษาความตั้งใจเดิมเอาไว้ได้ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้ว
“สิ่งเหล่านั้นต่างผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะมีชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น เรื่องยายของเจ้า เรามาร่วมกันคิดหาวิธีช่วยนางออกมา เมื่อช่วยเหลือท่านยายออกมาได้ ข้าจะให้ฝูกวงเป็นคนดูแล
พวกเจ้าไปที่นิกายเทพอสูร ต่อให้มือของเผ่าปีศาจจะยื่นออกไปได้ไกล แต่ก็ไม่อาจไปถึงนิกายเทพอสูรได้หรอก”
เยี่ยเฟิงเผยรอยยิ้มที่งงงวย “ขอบใจมาก”
แต่น่าเสียดาย……
เกรงว่าเขาจะไม่มีโอกาสนั้น ท่านยายของเขาคงจะช่วยเหลือออกมาได้ยาก
เขาอยู่ข้างกายของผู้นำกองธงกล้วยไม้มาสิบสามปี นับว่าเขารู้นิสัยของผู้นำกองธงกล้วยไม้อยู่ไม่น้อย
เดิมทีชีวิตของเขานั้นไม่มีคุณค่า จะให้พวกนางมาร่วมเผชิญชะตากรรมที่อันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร
“ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจที่เจ้าและคุณชายเซี่ยวไม่รังเกียจภูมิหลังของข้าและยอมเป็นเพื่อนกับข้า”
“พูดอะไรเช่นนั้น พวกเราสามคนจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน”
ดวงตาของเยี่ยเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและก้มศีรษะเพื่อซ่อนน้ำตาจากหางตา
หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
เซี่ยวอวี่เซวียนแอบมองดูพวกเขาเงียบๆ และเผยรอยยิ้มที่สำนึกผิดที่มุมปากของเขา
เป็นเพื่อนกันตลอดไป มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน……
เขาคนนี้นั้น……มีคุณสมบัติไม่พอ……
เมื่อตอนที่ผู้นำกองธงกล้วยไม้บุกมาทำลายหมู่บ้านเสี่ยวเหอนั้น เขาทำได้ไม่ดีเท่าไรนัก
ตอนที่ท่านยายเยี่ยถูกจับตัวไป เขา……เขาไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด
แต่เยี่ยเฟิงกลับเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจ
เมื่อสักครู่ที่เยี่ยเฟิงพูดกับกู้ชูหน่วนนั้น เขาได้ยินและรับรู้ทั้งหมด
เพราะเขาได้ยินทั้งหมด จึงทำให้เขารู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมากขึ้น
“นี่ เซี่ยวอวี่เซวียน เจ้าแอบอยู่ตรงนั้นทำอะไรน่ะ?” กู้ชูหน่วนตะโกน
เซี่ยวอวี่เซวียนดึงสติและเปิดพัดออก จากนั้นจึงเดินกะโผลกกะเผลกไปตรงหน้าของพวกเขาและพูดปฏิเสธออกมา “ใครบอกว่าข้าแอบ ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว ข้าก็แค่มาเรียกให้พวกเจ้ากลับไปกินข้าวก็เท่านั้น”
เบานั่งลงและตบไหล่ของเยี่ยเฟิง จากนั้นยิ้มและกล่าวว่า “ไปเผ่าปีศาจเมื่อไร ข้าจะไปกับเจ้า หากเราสามคนอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นข้าก็ไม่มีทางเชื่อหรอกว่าจะไม่สามารถจัดการผู้นำกองธงกล้วยไม้นั่นได้”
กู้ชูหน่วนมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคน จึงรีบพูดขึ้นมาเบาๆ “เราจะเริ่มทำการลงมือพรุ่งนี้ตอนค่ำ ส่วนการจะบุกเข้าไปช่วยเหลืออย่างไรนั้น ข้าได้วางแผนเอาไว้คร่าวๆ แล้ว”
“พรุ่งนี้ตอนค่ำ? พรุ่งนี้ไม่ได้เป็นวันแต่งงานองเจ้ากับเทพแห่งสงครามหรอกหรือ? ผู้คนบนท้องถนนต่างพูดกันไปทั่ว ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักก็ต่างรับรู้กันทั้งหมด หากเจ้าไม่ไป เช่นนั้นเทพแห่งสงครามจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อพูดถึงการแต่งงาน กู้ชูหน่วนก็เริ่มปวดหัวขึ้นมา
ยิ่งน่าปวดหัวไปกว่านั้นคือ ไม่รู้ว่าเยี่ยจิ่งหานคิดอะไรของเขา จู่ๆ ก็ประโคมอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะจัดงานแต่งงานขึ้น
อย่าพูดถึงแต่ในเมืองหลวง ทุกคนบนโลกนี้ต่างรับรู้
นางพูดอย่างหงุดหงิด “ข้ามีวิธีหนีไปเผ่าปีศาจ พวกเจ้าไม่ต้องสนใจทองแดงที่แตกหักนั่นหรอก”