จนกระทั่งถึงตอนนี้ เยี่ยจิ่งหานเพิ่งจะค้นพบว่า
เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จักนาง เขาก็ถูกกู้ชูหน่วนกัดกินเข้าไปข้างในแล้ว
“เจี้ยงเสวี่ย จัดกองกำลังคนและรีบส่งไปที่หุบเขาพิศวิญญาณ ข้าต้องการศีรษะของผู้นำกองธงกล้วยไม้และยายของเยี่ยเฟิง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยจิ่งหานมองไปที่กู้ชูหน่วนและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ “ข้าไม่ต้องการให้เด็กที่เกิดมาต้องมาเผชิญกับชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้ ข้าไม่ได้ระดมกองกำลังไปที่หุบเขาพิศวิญญาณเพื่อเจ้า”
“ใช่ๆๆ ท่านสะสมบุญบารมีเพื่อลูก ข้ารู้สึกขอบคุณแทนลูกด้วย”
กู้ชูหน่วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่ทักษะการรักษาของนางนั้นพอมีประโยชน์อยู่บ้างที่สามารถสร้างภาพลวงตาแห่งความตาได้
และนางก็เดิมพันสำเร็จ
เยี่ยจิ่งหานยังคงมีความเป็นมนุษย์ ไม่ถึงขั้นที่ไม่ยอมรับลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง
มีเยี่ยจิ่งหานคอยให้ความช่วยเหลือ เช่นนั้นแล้วเยี่ยเฟิงและยายเยี่ยก็คงจะปลอดภัยอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง ท่านมีความมั่นใจหรือไม่ว่าจะสามารถช่วยชีวิตของยายเยี่ยออกมาได้?”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น คำพูดของท่านนั้นข้าเชื่ออย่างเต็มที่ แต่ลูกน้องของท่านทั้งโง่และงี่เง่า นี่……เป็นเรื่องที่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล ไม่เช่นนั้น ท่านไปที่หุบเขาพิศวิญญาณด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
ชิงเฟิงมีสีหน้าหมองคล้ำและเต็มไปด้วยความไม่พอใจนัก
ใครกันหรือที่ทั้งโง่และงี่เง่า?
นี่ไม่ได้เป็นการว่าพวกเขาทั้งหมดหรอกหรือ?
อีกอย่าง……
ก็แค่หุบเขาพิศวิญญาณเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านลงมือด้วยตัวเองหรอก
นอกเสียจากเผชิญหน้ากับผู้นำเผ่าปีศาจ ไม่เช่นนั้น ต่อให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้เก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจเอาชนะแผนการของนายท่านได้
“เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับเจ้าที่กินอิ่มแล้วก็นอนโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?” น้ำเสียงของเยี่ยจิ่งหานเย็นชาลงเล็กน้อย
กู้ชูหน่วนตอบกลับตามความเป็นจริง “ท่านกินอิ่มแล้วก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ นี่ หรือท่านที่เป็นคนพิการเช่นนี้ยังสามารถทำอะไรได้อีกอย่างนั้นหรือ?”
ซู่……
อุณหภูมิในอากาศลดลงอย่างกะทันหัน
ชิงเฟิงลูบหน้าผาก
อีกแล้วหรือนี่
หากนางไม่ทำให้นายท่านโมโหจนคลุ้งคลั่ง นางก็คงไม่ยอมหยุดใช่หรือไม่?
ก่อนที่เยี่ยจิ่งหานจะโมโห กู้ชูหน่วนได้ค่อยๆ ก้าวถอยหลังกลับไป “ลูกยังเล็กอยู่เลย เขาต้องตกใจแน่ ก่อนที่ท่านจะโมโห ท่านก็ควรนึกถึงเด็กบ้าง”
“เจ้าผู้หญิงคนนี้……มัวทำอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบพานางกลับห้องไปอีก”
เยี่ยจิ่งหานกัดฟันกรอด
แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้
ชีวิตนี้เขาเกลียดคนที่พูดเรื่องขาของเขาที่สุด แต่ผู้หญิงคนนี้กลับคอยพูดตอกย้ำและท้าทายความอดทนของเขาอยู่เรื่อย
“อัยหยา……ข้ารู้สึกปวดท้องเหลือเกิน……ท่านอ๋อง ชิงเฟิงออกแรงมากเหลือเกิน ข้าปวดท้องเหลือเกิน”
ชิงเฟิงรู้สึกตกตะลึงอีกครั้งและจ้องมองที่มือของเขา
“นายท่าน ข้าน้อยไม่ได้ทำ”
เขาไม่ได้แตะต้องตัวของพระชายาเลย เช่นนั้นแล้วจะทำให้ลูกในท้องของนางเจ็บได้อย่างไร?
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าหมายความว่า ข้าแสร้งทำเป็นเจ็บอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าน้อย……”
“ข้าน้อยอะไรของเจ้า ข้าปวดท้องจนแทบทนไม่ไหวแล้ว พวกเจ้าช่างไม่มีมนุษยธรรมเอาเสียเลย ยังไม่รีบเรียกหมอหลวงมาอีก”
“รีบไปตามหมอหลวงเข้ามา”
มือของเยี่ยจิ่งหานกำแน่นจนหลังเก้าอี้เกิดรอยร้าว
ผู้หญิงคนนี้เป็นนักเขียนบทละครกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไร?
เห็นเขาตาบอดหรือที่แม้แต่ชิงเฟิงสัมผัสหรือไม่สัมผัสนางก็จะดูไม่ออก?
เจี้ยงเสวี่ยแอบมีความสุขเงียบๆ คนเดียว
โชคดีที่เขาตัดสินใจได้ทันท่วงทีและให้ชิงเฟิงเป็นผู้ออกรับหน้าที่แทน
ไม่เช่นนั้น วันนี้คนที่ซวยก็อาจเป็นเขา
ไม่ คือหลังจากนั้นคนที่ซวยก็จะเป็นเขาในทุกๆ วัน
“ท่านอ๋อง ลูกบอกกับข้าว่า หากท่านไม่ไปที่หุบเขาพิศวิญญาณ หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวด เจ็บปวดอย่างมาก เจ็บปวดจนแทบไม่อาจหายใจได้”
ที่หน้าผากของทุกคนต่างมีเส้นปรากฏสามขีด (หมดคำจะพูด)
รู้สึกเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่านางใช้โอกาสนี้ต้องการให้นายท่านไปที่หุบเขาพิศวิญญาณ