“ทองแดงที่แตกหัก?”
เยี่ยเฟิงและเซี่ยวอวี่เซวียนต่างก็ไม่เข้าใจว่านั่นหมายความว่าอย่างไร
สิ่งที่พูดออกมาจากปากของกู้ชูหน่วนนั้น บ่อยครั้งที่พวกเขามักฟังไม่เข้าใจ
เซี่ยวอวี่เซวียนส่ายหน้าและเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย “เทพแห่งสงครามไม่ได้เป็นคนที่จัดการได้ง่ายๆ วันแต่งงานแต่เจ้ากลับทำเพื่อผู้ชายคนอื่นและหนีไปที่เผ่าปีศาจ ข้าเกรงว่าเจ้าจะยังช่วยเหลือใครไม่ได้ แต่กลับต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้าเองมากกว่า”
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่ “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่เพียงแต่จะไม่เอาชีวิตของข้าไปเสี่ยง ข้ายังสามารถทำให้เยี่ยจิ่งหานปล่อยข้าออกมาแต่โดยดี เจ้าเลิกเป็นกังวลเรื่องนั้นได้แล้ว”
“พูดอย่างกับเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเจ้าก็พูดสิว่าเจ้าจะออกมาในคืนวันแต่งงานได้อย่างไร?”
“พูดออกมาก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วน่ะสิ”
เซี่ยวอวี่เซวียนคิดว่านางเพียงพูดขึ้นมาเล่นๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่านางคิดจะหนีการแต่งงานจริง
แต่ว่า……ในใจของนางกลับยิ่งต้องการให้เรื่องการแต่งงานของนางและเทพแห่งสงครามถูกเป็นที่พูดถึงไปทั่ว
กู้ชูหน่วนหยิบแผนที่แผ่นหนึ่งที่วาดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วและเรียกฝูกวงมาเพื่อพูดคุยปรึกษาว่าจะทำอย่างไรให้เยี่ยจิ่งหานติดกับดักเข้าไปยังหุบเขาพิศวิญญาณเพื่อช่วยชีวิตของท่านยายเยี่ยได้
เยี่ยเฟิงมองไปที่ท้องฟ้าสีคราม แต่กลับไม่ได้ยินคำพูดใดๆ
ก่อนหน้านี้ก็เคยบุกเข้าไปยังหุบเขาพิศวิญญาณแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้คิดอยากจะบุกเข้าไป เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว
อีกอย่าง……
ชีวิตของเขาไม่มีคุณค่าเลยด้วยซ้ำ จะให้พวกเขายอมตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าเทพแห่งสงครามจะมีบุคลิกที่เคร่งขรึม แต่ก็เป็นคนที่สามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ กู้ชูหน่วนแต่งงานกับเขาไป จะต้องมีความสุขอย่างมาก
ยายของเขา ก็ให้เป็นหน้าที่ของเขาในการเข้าไปช่วยเหลือออกมาเถอะ
ชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านเสี่ยวเหอนับร้อย ก็ควรจะได้รับการปลดปล่อย
กู้ชูหน่วนจิ้มไปที่ไหล่ของเยี่ยเฟิงเบาๆ เพื่อให้เขาดึงสติกลับมา
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือทำไมถึงดูจริงจังเช่นนั้น ข้าจะให้เซี่ยวอวี่เซวียนและฝูกวงจากไปก่อน เราก็กลับไปกันเถอะ เจ้าไม่ได้กินอิ่มมากี่วันแล้ว”
“ไม่เลย ขอบใจเจ้ามาก”
“ขอบใจข้าเรื่องอะไร?”
“ขอบใจที่เจ้าไม่ได้บอกถึงตัวตนที่แท้จริงของข้าต่อหน้าของอัครมเหสีฉู่”
เยี่ยเฟิงรู้ว่าจากความเฉลียวฉลาดของกู้ชูหน่วนแล้ว นางจะต้องรู้สถานะความสัมพันธ์ของเขาและอัครมเหสีฉู่อย่างแน่นอน
กู้ชูหน่วนถอนหายใจ ในปากของนางเคี้ยวต้นหญ้าอยู่และพูดขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน “ฉะนั้น เจ้าเป็นลูกของอัครมเหสีฉู่และเป็นองค์ชายของรัฐฉู่?”
เยี่ยเฟิงก้มหน้าลงและพูดอย่างเฉื่อยช้า “ไม่ใช่ ในอนาคตพวกเขาจะมีลูก”
“ข้าเห็นว่าอัครมเหสีฉู่ก็ดูอ่อนโยนและใจดีมากเช่นกัน อีกอย่างพระองค์ยังไม่ลืมเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเลย ข้าคิดว่า เจ้าควรจะบอกความจริงกับพระองค์ไปเลย พระองค์ไม่มีทางรังเกียจอดีตของเจ้าอย่างแน่นอน”
“พระองค์ไม่รังเกียจ แต่ข้ารังเกียจ”
“แต่เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่าความปรารถนาสูงสุดของแม่คือการได้อยู่ร่วมกับลูกๆ ไปตลอดชีวิตและมีความสุขกับครอบครัว พระองค์เจ็บปวดกับการที่ลูกชายแท้ๆ หายไปสิบแปดปี สิบแปดปีมานี้ ข้าเชื่อว่าพระองค์ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบาก”
เยี่ยเฟิงส่ายหัวอย่างดื้อรั้นและอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสะอื้น “หากเจ้ายังเห็นว่าข้าเป็นเพื่อน เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้าปกปิดความลับนี้ต่อไป ได้หรือไม่?”
มุมปากของกู้ชูหน่วนขยับและไม่รู้ว่าควรจะพูดเกลี้ยกล่อมอย่างไร
เมื่อสักครู่เยี่ยเฟิงได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้นางฟังมากมายเช่นนั้น ก็เพียงเพื่อขอร้องให้นางอย่าเปิดเผยภูมิหลังชีวิตของเขาออกไป
“เรื่องนี้ค่อยพูดกันวันหลังเถอะ กลับไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“ข้ายังอยากจะอยู่กับพวกเขา เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะตามกลับไป”
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปยกสำรับอาหารมาที่นี่ เรานั่งกินข้าวกันตรงนี้” กู้ชูหน่วนหันหลังเดินกลับไปและโยนต้นหญ้าในปากทิ้งลง
เยี่ยเฟิงต้องการขอร้องนาง หากเป็นไปได้ช่วยดูแลอัครมเหสีฉู่แทนเขา
แต่เขาพูดไม่ออก
หนึ่งคือ อัครมเหสีฉู่มีตำแหน่งฐานะที่สูงส่ง ข้างกายจึงมีคนคอยปรนนิบัติดูแล
สองคือ กู้ชูหน่วนฉลาดเหลือเกิน หากเขาพูดไป กู้ชูหน่วนจะต้องคาดเดาความคิดจุดประสงค์ของเขาได้
สามคือ เขาไม่มีคุณสมบัติอะไรที่จะไปขอร้องให้กู้ชูหน่วนช่วยเหลือในเรื่องนี้
หุบเขาพิศวิญญาณ……
จุดเริ่มต้นทั้งหมดของเขาอยู่ที่นั่น หากจะทำให้ทุกอย่างจบลง เช่นนั้นก็ควรจะจบลงที่นั่น