ดวงตาที่กำลังหลุกหลิกของกู้ชูหน่วนสะท้อนแสงปลิ้นปล้อนขึ้นมาสายหนึ่ง
ทันใดนั้น นางจับหน้าอกตัวเองพลันกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น นางกล่าวเสียงอ่อนระโหยโรยแรงและตะลึงว่า “ใคร……ใครที่ใจคอโหดเหี้ยม ถึงกับวางยาพิษใส่ข้า”
โครม……
ทุกคนสะดุ้งโหยง
ทุกคนจ้องกู้ชูหน่วนที่หลับตานอนอยู่ในกองโลหิตอย่างเหลือเชื่อ ดวงตาพวกเขาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ
“หมอหลวง รีบไปตามหมอหลวง”
ไม่รู้ว่าเป็นใครในกลุ่มนี้ตะโกนออกมาด้วยความหวาดหวั่น
ทหารคุ้มกันจำนวนไม่น้อยรีบวิ่งไปหาหมอหลวง
“พระชายาเป็นอันใด……”
ทหารอารักขาหญิงคนหนึ่งใจกล้าไปจับชีพจรนาง จากที่กำลังหวาดกลัว ใบหน้าก็ซีดขาวในฉับพลัน
“ชีพจร……ชีพจรพระชายาไม่เต้นแล้ว”
โครม……
ร่างกายทุกคนโย้เย้
ชีพจรไม่เต้นไม่ใช่หมายถึงสิ้นลมหายใจแล้วหรือ?
โอ้สวรรค์ หากพระชายาเสียชีวิตแล้ว พวกเขาจะรายงานท่านอ๋องเช่นไร?
ทว่าพวกเขาเฝ้าคุ้มกันหลายชั้น คนอื่นวางยาพิษใส่พระชายาไม่ได้เลย
“ตึก ๆ……”
ไม่ว่าทหารคุ้มกันในที่ลับหรือที่แจ้ง ต่างพากันจากไป บ้างก็ไปรายงานเยี่ยจิ่งหาน บ้างก็ไปหาหมอ เพียงชั่วอึดใจ ทหารคุ้มกันก็น้อยลดไปเศษสองส่วนสามแล้ว
กู้ชูหน่วนใช้ยากลั้นลมหายใจ นางรับรู้การเปลี่ยนแปลงรอบกายอย่างเงียบ ๆ
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีทหารคุ้มกันคนเดียว เป็นจุดที่หละหลวมที่สุด
ดีมาก
ท่ามกลางสภาพจิตใจตึงเครียดของเหล่าทหารคุ้มกัน พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำเยี่ยงใด กู้ชูหน่วนก็หว่านผงยาพิษออกไปอีกครั้ง
ซึ่งผงยาพิษชนิดนี้ไม่ถึงตาย ทว่าก็ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วขณะ
กู้ชูหน่วนทาน้ำมันใต้เท้า จากนั้นก็ยิงเข็มเงินใส่ทหารคุ้มกันทางตะวันออกเฉียงใต้อย่างแม่นยำ พลางยิ้มกล่าวว่า “เด็กน้อย ไม่มีใครเคยบอกหรือว่า อย่าเชื่อถ้อยคำคนแปลกหน้า?”
แค่ชั่วพริบตา กู้ชูหน่วนก็จากไปไกลเสียแล้ว ทหารคุ้มกันและทหารอารักขาในจวนล้วนวิ่งไล่กันอย่างแตกตื่น ทว่าถูกฝูกวงขัดขวาง
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ กู้ชูหน่วนจึงหยุดวิ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงโอหัง
อยากขังนาง ต้องฝึกอีกหลายปี
“นายท่าน” ฝูกวงตามมาด้วยความเร่งรีบ ใบหน้าหมดจดมีเหงื่อไหลซึม
“ทำไมนานจัง?”
“ลูกน้องของเทพสงครามจัดการยากมาก ต้องใช้เวลากว่าจะหนีออกมาได้” หากไม่มียอดฝีมือที่ไม่รู้ที่มาพุ่งเข้ามา เขาก็คงหนีมาไม่ได้
ฝูกวงรู้สึกฉงนสนเท่ห์
คนกลุ่มที่ปรากฏกายกะทันหันเป็นใคร ทำไมล้วนมีวรยุทธสูงส่งกันทั้งนั้น? ทั้งยังลงมืออย่างไม่ออมมือ ทุกกระบวนท่าล้วนเอาถึงตายเลย
“นายท่าน ลูกน้องของเทพสงครามเจอปัญหา คล้ายกับเจอศัตรู”
“ลูกน้องของเยี่ยจิ่งหานสู้พวกนั้นได้ไหม?”
“ทั้งเก่งกันทั้งสองฝ่าย แต่อยู่ในถิ่นของเทพสงคราม ลูกน้องของเขาไม่เสียเปรียบแน่”
“ถ้าไม่เสียเปรียบก็ไม่สนใจแล้ว ไปที่หุบเขาพิศวิญญาณ ดูว่าช่วยท่านยายเยี่ยได้หรือยัง?”
“ขอรับ”
ในโรงเตี๊ยมนอกเมือง
เยี่ยจิ่งหานกำลังนั่งดูแผนที่อยู่ ด้านข้างมีบุรุษชุดสีเขียวครามกำลังหัวเราะคิกคัก
“เพียงสตรีคนเดียว ท่านทนมาสิบกว่าปี ยามนี้จะละทิ้งแล้วหรือ?”
เขากำลังหัวเราะ ทว่าเสียงหัวเราะกลับระคนความกังวลไว้
เยี่ยจิ่งหานละสายตามามองเขา พลางกล่าวเสียงราบเรียบ “ข้าแยกแยะออก”
“แยกแยะ? แยกแยะอันใด? ท่านนำทหารบุกกองธงกล้วยไม้ เท่ากับฉีกหน้าจอมมารอย่างเปิดเผยเลยนะ ท่านอย่าลืมนะ ศัตรูของท่านกำลังจ้องท่านตาเป็นมัน”