ประโยคหนึ่งซึ่งทำให้บรรยากาศในโรงเตี๊ยมหนักอึ้งขึ้นมาก
หากว่าจอมมารไม่มาถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของผู้นำกองธงกล้วยไม้จะสูงส่งเพียงใดเอาชนะเขาได้ก็เป็นเรื่องในเวลาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น
แต่เมื่อจอมมารมาถึงเอง เรื่องราวต่างๆก็จัดการง่ายดายขึ้นมาบ้าง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสู้รบในครานี้ในส่วนผู้นำกองธงกล้วยไม้เผ่าเพลิงฟ้าจะต้องก้าวเข้ามายุ่งด้วยเป็นแน่ และคู่ต่อสู้ใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือเผ่าเพลิงฟ้า
“ต่อสู้อย่างรวดเร็วจากนั้นเอาชนะหัวหน้าของผู้นำกองธงกล้วยไม้แล้วล่อให้จอมมารออกมา”
ซูมู่เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านบ้าไปแล้วหรือ? เป็นไปได้สูงว่าครั้งนี้ที่มาจะเป็นนายน้อยหัวหน้าเผ่าของเผ่าเพลิงฟ้า ท่านเพียงผู้เดียวต่อสู้กับนายน้อยหัวหน้าเผ่าเพลิงฟ้าและจอมมาร ท่านคิดว่าท่านมีโอกาสที่จะชนะหรือ? จอมมารปล่อยให้ข้าจัหการท่านใจจดจ่อกับการจัดการกับเผ่าเพลิงฟ้าเถอะ”
“ไม่ทันการณ์แล้ว” เยี่ยจิ่งหานมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยสายตาคู่โหดเหี้ยม มีรัศมีอันทรงพลังสองเส้นมาจากที่อันไกลแล้วใกล้เข้ามาพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
หากว่าเขาคาดการณ์ไม่ผิด เผ่าเพลิงฟ้าและจอมมารมากันหน้าหลังทีละคนแล้ว
เยี่ยจิ่งหานด้านหนึ่งให้คนเข็นเขาออกไปอีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “หากว่าเจ้าต้องการช่วยข้าก็ไปหาตัวกู้ชูหน่วนแทนข้าให้พบ”
“ข้าดูแล้วหญิงผู้นั้นฉลาดยิ่งนัก เจ้าโยกย้ายลูกน้องมากมายเช่นนั้นไปตามหานางนางไม่เกิดเรื่องใดหรอกนะ ตอนนี้ที่เจ้าควรนึกถึงคือตัวเจ้าเอง”
“ก่อนที่จะหานางพบข้าไม่มีทางเป็นสุขได้”
ในใจซูมู่นั้นปฏิเสธแต่เขารู้ว่าเยี่ยจิ่งหานมีความบาดหมาดกับเผ่าเพลิงฟ้ายิ่งนัก คนของเผ่าเพลิงฟ้ายากที่จะรับรองได้ว่าจะไม่แยกทัพออกเป็นสองเส้นทางไล่ตามกู้ชูหน่วนไปตลอดทาง
เขาถอนหายใจ “ได้ได้ได้ ข้าจะไปตามหานาง แต่ว่าเจ้าคิดดีแล้วที่จะเก็บเด็กคนนั้นเอาไว้จริงๆหรือ?”
เมื่อพูดถึงเด็ก ทั้งซูมู่และเยี่ยจิ่งหานต่างก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง
ดวงตาอันเย็นเฉียบของเยี่ยจิ่งหานเต็มขึ้นด้วยประกายไฟ “เจ้านี่พูดมากจริงๆ”
“ได้ ข้าไม่พูดจาไร้สาระแล้วข้าจะไปตามหานางเดี๋ยวนี้ เจ้าก็แล้วแต่บุญวาสนาเองเถอะหวังว่าหลังจากที่ข้ากลับมาจะไม่ต้องมาเก็บศพท่าน”
แสงสีฟ้าแว๊บผ่านซูมู่ก็ได้จากไปไกลแล้วด้วยความเร็วที่ทำให้คนไม่อยากจะเชื่อราวกับว่าหายวับไปในอากาศ
นอกโรงเตี๊ยมเยี่ยจิ่งหานกุมขลุ่ยสีหยกขาวเอาไว้ในมือมือขาวอันเรียวยาวขยับเขยื้อนอย่างเกียจคร้าน
เมื่อศัตรูมาถึงเขาไม่ได้รู้สึกประหม่าเลยแม้แต่น้อยแต่กลับมีความสง่างามอันอิสระเสรี
ทิศเหนือเปลวไฟพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมเสียงแห่งการสังหารปะทุขึ้น
ทิศตะวันออกเปลวไฟยังพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน เสียงกรีดร้องอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ทหารอารักขารายงาน
“นายท่าน มาพร้อมกันกับจอมมารมีสามผู้นำกองธงและผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย ตอนนี้สามผู้นำกองธงและผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายได้ไปเป็นกองหนุนให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้แล้ว สถานการณ์การต่อสู้ทางทิศเหนืออยู่ในภาวะทางตัน”
“ทางทิศตะวันออก เผ่าเพลิงฟ้านำโดยผู้อาวุโสทั้งสี่คนแห่งฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวพร้อมนำยอดฝีมือมากมายหลายพันคนมาต่อสู้กับเราที่ภูเขาตงเฉิน เนื่องด้วยใต้เท้าหลีลั่วได้โยกย้ายกองกำลังส่วนใหญ่เพื่อค้นหาพระชายา ตอนนี้สถานการณ์การต่อสู้จึงได้ถึงทางตัน”
เยี่ยจิ่งหานโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาถอยออกไปแล้วกล่าวอย่างช้าๆด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ออกมาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาล่ะ”
หลังจากคำพูดสิ้นสุดลงชายชุดขาวจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็ลงมาจากฟากฟ้าราวกับเทพเซียนอันงดงามและค่อยๆลงมา
ชายชุดขาวอายุพอๆกับเยี่ยจิ่งหานซึ่งทั้งสองอายุประมาณยี่สิบปี บนใบหน้านั้นสวมหน้ากากรูปผีเสื้อปกปิดใบหน้าอันงดงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่ยังปรากฏออกมาพร้อมรอยยิ้มบางเบา
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดสะอ้านพลิ้วไสว ผมสีดำนุ่มสลวยของเขาถูกมัดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ลมพัดปลิวก็พลิ้วไหวไปมา อาศัยแสงจันทร์อันเจิดจ้าราวกับว่ามีเทพลงมาจุติ
หนึ่ขาวหนึ่งน้ำเงิน หนึ่งยืนหนึ่งนั่งโดยที่สวมหน้ากากทั้งสองคนจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาชัดเจนได้ เพียงแค่นั่งและยืนอยู่ตรงนั้นกลิ่นไอจากร่างกายของทั้งสองคนเพียงพอที่จะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” ชายชุดขาวกล่าวคำพูดขึ้นก่อน น้ำเสียงของเขากระจ่างชัดอ่อนโยนพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา แต่ว่ารอยยิ้มนี้แฝงด้วยความเย็นชาอยู่สักเล็กน้อย