กู้ชูหน่วนสั่งการเย็นเยียบ “เฝ้าดูเขาให้ดี ห้ามเขาตายก่อนเลือดสดจะไหลหมด”
“่พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซวี่โดนตัดสองแขนสองขา แล้วยังถูกตัดเอวทิ้งอีก เรียกได้ว่าเป็นลูกไก่ในกำมือกู้ชูหน่วนแล้ว ถึงแม้จะเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ทว่าก็ต้องหายใจอย่างทรมาน
เยี่ยเฟิงฝังศพท่านยายเยี่ยร่วมกับชาวบ้านที่หมู่บ้านเสี่ยวเหอ
กู้ชูหน่วนจุดธูปสามดอกพลันกล่าวปลอบใจ “ในเมื่อตายแล้ว ท่านก็ทำใจเถอะ”
“ไม่เป็นไร วันนี้คือวันแต่งงานของเจ้า เจ้ารีบกลับไปเถอะ อย่าให้หานอ๋องรอนาน และอย่าให้แขกเหรื่อรอนาน” เยี่ยเฟิงเงยหน้า พลางปั้นรอยยิ้มด้วยความฝืนกลั้น ไม่อยากให้กู้ชูหน่วนกังวลใจเพราะเขา
สภาพของเขายิ่งทำให้กู้ชูหน่วนกังวลใจหนักกว่าเดิม
ทหารอารักขาเร่งรัดหลายครั้งแล้ว “พระชายา ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว นายท่านเร่งให้ท่านกลับไปโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว”
มือขาวดั่งต้นหอมของเยี่ยเฟิงจับป้ายสุสานอย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงตาอมทุกข์กวาดสายตามองพื้นที่ระเกะระกะ หมู่บ้านเสี่ยวเหอไร้ซึ่งผู้คน เห็นแล้วก็บีบหัวใจยิ่ง
หลายชั่วยามก่อน ที่นี่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ เด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาม คนชราสานตะกร้าไปขาย แม่บ้านก็จับกลุ่มกันไปซักผ้าตามริมธาร ส่วนเหล่าบุรุษก็ทำงานอย่างทะมัดทะแมง ทว่าบัดนี้…….ที่นี่กลับไม่มีผู้คนหลงเหลืออยู่
เพราะเขา หลายร้อยชีวิตในหมู่บ้านเสี่ยวเหอจึงถูกฆ่าล้างบางชั่วค่ำคืน
ท่านยายก็ต้องตายอย่างอนาถเพราะเขา
เยี่ยเฟิงพยายามข่มกลั้นความรู้สึกไว้แล้วแอบเช็ดน้ำตาตรงหางตา
วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของกู้ชูหน่วน เขาจะไม่ทำให้นางเดือดร้อนเด็ดขาด หากเขาอยู่ที่นี่ต่อไป นางคงไม่วางใจ เพราะยามนี้ไม่รู้ว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้อยู่หนใด ดังนั้นอีกฝ่ายอาจจะมาทำร้ายเขาได้ทุกเมื่อ
เยี่ยเฟิงกล่าว “ตอนนี้ข้าจะไปสำนักนิกายเทพอสูรกับฝูกวง เจ้ารีบกลับไปคำนับฟ้าดินเถอะ”
กู้ชูหน่วนมองฟากฟ้า นางเสียเวลาอยู่ที่นี่นานแล้ว ด้วยนิสัยของเทพสงคราม เขาทนมาถึงตอนนี้นับว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว หากชักช้าต่อไป เกรงว่าเขาต้องระเบิดอารมณ์แน่
“ได้ รอให้มีโอกาสแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าที่สำนักนิกายเทพอสูร”
“ได้ ขอให้เจ้ากับหานอ๋องครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า”
กู้ชูหน่วนยิ้มเก้อเขิน “ไม่ต้องอวยพรก็ได้ ฝูกวง เจ้าต้องส่งเขาไปยังสำนักนิกายเทพอสูรอย่างปลอดภัยนะ”
“นายท่านวางใจเถอะ ไม่ต้องพูดถึงที่เทพสงครามส่งคนคอยปกป้องมากมาย ลำพังข้าน้อยผู้เดียวก็สามารถส่งไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยได้”
“อืม”
แม้นจะไม่อยากจากกัน ทว่าทั้งสองคนก็ต้องแยกย้ายไปยังหนทางของตัวเอง
ยามที่กู้ชูหน่วนกลับไปถึงเมืองหลวง ก็เห็นประดับประดาไปด้วยของตกแต่งมากมาย ทั้งตรอกซอยแขวนตัวอักษร สิริมงคลตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มกับโคมไฟ เผยบรรยากาศอันชื่นมื่นขึ้น
แม้แต่ราษฎรยังสวมอาภรณ์สีแดงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เห็นมีสีขาวเลย
กู้ชูหน่วนรู้สึกตกตะลึงตาค้าง “นี่คือพิธีสมรสของจักรพรรดิหรือ?”
ทหารอารักขาตอบ “ทูลพระชายา ฝ่าบาทมิได้ อภิเษกสมรสพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นงานแต่งของนายท่านกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“จัดงานใหญ่เกินไปหรือเปล่า?”
เหตุใดต้องจัดเสียอลังการด้วย?
ไม่ใช่บอกว่าแค่จัดการตบตาผู้คนเท่านั้นหรอกหรือ?
ขุนนางทั่วรัฐเยี่ยและทูตจากรัฐอื่น ล้วนนำของขวัญมาแสดงความยินดีกันมากมาย จวนหานอ๋องจึงมีแขกตั้งแต่เช้าจนค่ำ
ทุกตรอกทุกซอยของเมืองหลวง ล้วนสามารถเห็นเหล่าขุนนางหรือไม่ก็ตระกูลสูงศักดิ์จับขบวนกันมาร่วมอวยพร
ดวงตากู้ชูหน่วนวาวโรจน์
หานอ๋องช่างแผนสูงนัก
การจัดพิธีสมรสอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ลำพังของอวยพรก็มีไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว
นางถามเสียงต่ำ “คนพวกนี้มามอบของขวัญให้ข้ากับท่านอ๋องใช่ไหม?”
ทหารอารักขารู้สึกภาคภูมิใจ
นายท่านของเขามีฐานะ นายท่านแค่กระทืบเท้า รัฐเยี่ยก็สั่นสะท้านไปทั่วแล้ว ใต้หล้านี้ผู้ใดไม่อยากประจบประแจงนายท่านกัน
เมื่อก่อนคนอื่นไม่มีโอกาสประจบสอพลอ ยามนี้นายท่านแต่งงาน พวกเขาย่อมต้องคว้าโอกาสทองนี้ไว้แน่นอน