ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเห็นผู้นำกองธงกล้วยไม้กระทำชำเราเขาต่อหน้านางหรือเปล่า จึงทำให้เขารู้สึกห่างเหินมากขึ้นเมื่ออยู่กับกู้ชูหน่วน
“บาดแผลที่มือของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”
เยี่ยเฟิงเหลือบมองที่นิ้วก้อยและนิ้วนางที่หักและยิ้มอย่างแผ่วเบา “ข้าชินแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
เขาพูดอย่างเรียบง่าย แต่กลับทำให้กู้ชูหน่วนเป็นกังวล
อะไรคือชินล่ะ
เรื่องเช่นนี้ก็บอกว่าชินแล้วได้ด้วยหรือ?
เมื่อมองดูรูปร่างที่ผ่าเผยและสง่าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่มีความสง่างามอย่างมาก แต่เขากลับสวมเสื้อคลุมผ้าลินินเนื้อหยาบและเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็ไม่รู้ว่ามีการปะติดไม่รู้เท่าไร ซึ่งดูแล้วไม่งดงามเอาเสียเลย
“อัครมเหสีฉู่มอบเสื้อผ้าให้กับเจ้าหนึ่งชุดไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่ใส่ชุดนั้นล่ะ?”
ชุดนี้ดูเหมือนนำเศษผ้าหลายๆ ชิ้นมาปะติดปะต่อกันให้เป็นชุด
แววตาของเยี่ยเฟิงรู้สึกเจ็บปวดและไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ เขาพูดเพียง “ข้าใส่ชุดนี้ เป็นชุดที่ท่านยายเป็นคนตัดเย็บให้กับข้าก็ใส่สบายดีอยู่แล้ว”
ส่วนเสื้อผ้าที่อัครมเหสีฉู่มอบให้เขานั้น เขาไม่เหมาะสมที่จะสวมใส่และไม่กล้าที่จะนำมาสวมใส่
“อีกประเดี๋ยวก็เป็นงานพิธีแต่งงานของข้าแล้ว เพื่อเป็นการระลึกถึงวันสำคัญนี้ ข้าจะมอบชุดให้เจ้าเป็นของขวัญ” กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างจริงใจ
นางรู้ว่าหากให้เงินตำลึงเขาไป หรือให้เขาไปเปล่าๆ เขาจะต้องไม่รับอย่างแน่นอน
ดวงตาที่เฉยเมยของเยี่ยเฟิงจ้องมองไปที่เยี่ยจิ่งหานที่นั่งอยู่บนรถเข็นในระยะห่างไกลออกไป ลำคอของเขาราวกับมีก้างปลาติดอยู่ ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเขาถึงจะพูดออกมาได้
“เจ้าต้องการแต่งงานกับเขาจริงหรือ? นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต หากเจ้าไม่ต้องการ……”
กู้ชูหน่วนพูดขัดหวะคำพูดของเขา “แต่งงานกับเขาไม่ดีตรงไหนหรือ เขามีพละกำลังมหาศาล มีเงินทองมากมาย มีผ้าไหมชั้นดีจำนวนมาก อยู่ใต้คนๆ เดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ต้องการอะไรก็ได้ในชีวิตนี้”
บรรยากาศเงียบสงบลงในชั่วขณะ
ทุกคนต่างไม่มีใครพูดอะไร แต่ละคนต่างกำลังคาดเดาความคิดของกู้ชูหน่วน
“วางใจเถอะ คนที่ข้าไม่อยากแต่งงานด้วย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบังคับข้าได้”
เยี่ยเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น แต่ไม่รู้ทำไมในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา “อันที่จริง……การได้แต่งงานกับหานอ๋องก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เขาดีกับเจ้ามากและสามารถมอบความสุขให้กับเจ้าได้ และจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนพูดถึงกัน”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาหลวงและไม่ยอมให้ข้าอยู่ด้วยกันกับเจ้า ฉะนั้นข้าจึงได้ให้ฝูกวงเป็นคนพาพวกเจ้าไปที่นิกายเทพอสูร นิกายเทพอสูรยอมรับตัวพวกเจ้าเอาไว้ ต่อให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้มีความสามารถมากเพียงใด เขาก็ไม่สามารถไปถึงนิกายเทพอสูรได้อย่างแน่นอน”
ยายเยี่ยดีใจและรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “แม่นางกู้ พวกข้า……พวกข้าไปที่นิกายเทพอสูรได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอน หากไม่เชื่อท่านถามฝูกวงดูได้” กู้ชูหน่วนแตะไหล่ของฝูกวง
เจ้าหมอนี่ หลังจากที่เขากลับมาจากการไปกำจัดผู้นำเผ่าเพลิงฟ้า เขาก็ดูแปลกไปเล็กน้อย ดูไร้ความรู้สึกหม่นหมอง
ฝูกวงดึงสติและตอบสนองกลับ “อ๋า……ขอรับ ข้าได้บอกคนของนิกายเทพอสูรเอาไว้แล้ว พวกเขายอมรับให้พวกเจ้าไปที่นั่น ต่อไปพวกเจ้าก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้อย่างสบายใจและไม่มีใครสามารถรบกวนพวกเจ้าได้”
“เพียงแค่พวกข้าไปถึงนิกายเทพอสูร ผู้นำกองธงกล้วยไม้ก็ไม่สามารถสร้างปัญหารบกวนพวกข้าได้อีกใช่หรือไม่?”
“ใช่” กู้ชูหน่วนยิ้มและหวังว่าพวกเขาสองคนยายหลานจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข “พิษในร่างกายของท่านนั้น ข้าได้ตรวจสอบแล้วและจะถอนพิษออกจากร่างกายของท่านให้ได้ในเวลาสั้นๆ นี้”
“ข้าแก่มากแล้ว จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ ข้ากังวลเพียงแค่การถล่มทลายของหุบเขาพิศวิญญาณในครั้งนี้จะทำให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้โกรธหนักมากและมาสร้างปัญหาให้กับเฟิงเอ๋อร์”
ฝูกวงถือดาบสองเล่มไว้บนหลังของเขา และรอยยิ้มที่มั่นใจก็ผุดขึ้นบนใบหน้าที่หล่อเหลา “วางใจได้ นิกายเทพอสูรของพวกข้าไม่ใช่ว่าใครก็สามารถบุกรุกเข้ามาได้ ต่อให้ผู้นำกองธงกล้วยไม้มีศิลปะการต่อสู้สูงส่งเพียงใดก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
“ขอบคุณ ขอบคุณพวกท่านมาก”
ยายเยี่ยก้มศีรษะลงโค้งคำนับและต้องการจะคุกเข่าเพื่อก้มศีรษะลงกับพื้นเพื่อนขอบคุณกู้ชูหน่วน กู้ชูหน่วนรีบประคองนางขึ้น “ไม่ได้ๆ นี่กำลังแช่งข้าหรืออย่างไรกัน? จะพูดไป ข้ากับเยี่ยเฟิงก็เป็นเพื่อนกัน”
เยี่ยเฟิงยิ้มและกล่าวขึ้นมา “ความสุขที่สุดของข้าในชีวิตนี้ก็คือการได้รู้จักเจ้าและเซี่ยวอวี่เซวียน ในตอนที่ข้าไร้ซึ่งความช่วยเหลือและลำบากทุกข์ทรมาน คนที่อยู่กับข้ามาตลอดก็คือพวกเจ้า คำพูดที่ซาบซึ้งนั้นข้าไม่ขอพูดมากไปกว่านี้แล้ว รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย”