“หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าชีวิตตลอดเวลาที่อยู่หอคุมขังพญาหงส์เป็นอย่างไร? หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าการที่เจ้าถูกเลือกไปเป็นผู้คอยปรนนิบัติ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขา หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าเขากรอกเหล้าเจ้าและส่งเจ้าไปบนเตียงของผู้นำกองธงกล้วยไม้?”
เยี่ยเฟิงยิ้มอย่างโศกเศร้า
เขาจะลืมได้อย่างไร
สิ่งที่เจียงซวี่ทำกับเขานั้น ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
เขาเคยเป็นผู้คอยปรนนิบัติที่ต่ำต้อย แต่เจียงซวี่เป็นถึงผู้ถือธง
ถึงแม้ว่าผู้ถือธงก็เป็นคนใช้ แต่ก็ถือว่ามีศักดิ์สูงกว่าผู้คอยปรนนิบัติอยู่มาก
เมื่อมีสถานะที่แตกต่างกัน เขาจึงพยายามจงใจหาเรื่องเยี่ยเฟิงและคอยรบกวนเขา
หลังจากนั้นเขาก็เลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ ความทุกข์ทรมานที่มีต่อเขาก็เพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันทุกคืน
สิบสามปีมานี้ เขาไม่เคยกินอิ่มเลยสักมื้อ ไม่เคยได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ แม้แต่ข้าวบูดเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะกิน เขาอดทนกับความหิวความหนาวเย็นและอดทนกับการดูถูกเหยียดหยาม ล้วนแล้วแต่เป็นเจียงซวี่เป็นคนทำขึ้นทั้งหมด
เมื่อนึกถึงอดีต เยี่ยเฟิงก็อดไม่ได้ถึงความเจ็บปวด
นั่นเป็นอดีตความเจ็บปวดที่เขาไม่อยากจำอีกเลยในชีวิตนี้
ต่อให้จะเจ็บปวดมากเพียงใด ต่อให้โกรธแค้นมากแค่ไหน เขาก็เพียงแค่ยิ้มอย่างโศกเศร้า “อย่ายึดติดกับอดีตเลย เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะ”
กู้ชูหน่วนรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คนคนหนึ่งสามารถใจกว้างและใจดีมีเมตตาได้ถึงเพียงนี้
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ถูกทำร้าย
ยายเยี่ยจับมือของเยี่ยเฟิงเอาไว้และเสียงที่แหบแห้งก็ค่อยๆ ดังขึ้น “เฟิงเอ๋อร์พูดถูก เขาได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ ข้าก็ไม่อยากให้เฟิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพวกเขาที่โหดเหี้ยมไร้จิตใจ”
ฝูกวงไม่เห็นด้วย “ผลกรรมเช่นนี้ยังน้อยเกินไปสำหรับเขา ข้าคิดว่า ตัดแขนตัดขาของเขาทิ้งเสียจะดีกว่า เพื่อให้เขาได้ลิ้มรสกับความอ้างว้างและไร้ที่พึ่งเสียบ้าง”
“ข้าไม่ใช่เยี่ยเฟิง อย่าทำอะไรข้า อย่าฆ่าข้าๆ ข้าจะให้เจ้ากินของอร่อย อ้ำๆๆ……” เจียงซวี่ฉีกยิ้มอย่างโง่เขลา เมื่อยิ้มอย่างมีความสุขก็ยิ่งหยิบดินโคลนกินมากขึ้น
เยี่ยเฟิงย่อตัวลงและเช็ดคราบดินที่มุมปากให้เขา ให้เขาคายดินโคลนออกมาและยังช่วยเขาเช็ดมือที่สกปรกเลอะเทอะนั้นด้วยตัวของเขาเอง
“สิ่งนี้กินไม่ได้ หากเจ้าต้องการกินอะไรละก็ ประเดี๋ยวข้าจะซื้อมาให้เจ้ากิน”
กู้ชูหน่วนเหมือนถูกทิ่มแทง เยี่ยเฟิงที่ดูจิตใจดีมีเมตตาเช่นนี้ สวรรค์ช่างไม่มีตา กลับให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมากมายเช่นนี้
เขาเป็นถึงองค์ชาย องค์ชายที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง
หากไม่เกิดภัยพิบัตินั้น เขาอาจได้เป็นถึงจักรพรรดิของรัฐฉู่ เป็นผู้ปกครองรัฐและเป็นประมุขที่ปกป้องคุ้มครองประชาชน
เขามีจิตใจดีมีเมตตาเช่นนี้ หากเขาได้เป็นจักรพรรดิ เช่นนั้นจะต้องเป็นความโชคดีของประชาชนอย่างแน่นอน
ดวงตาของกู้ชูหน่วนหรี่ลงและพูดออกมาด้วยความไม่เต็มใจนัก “ก็ได้ เพื่อเห็นแก่เยี่ยเฟิง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า เจ้ารีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ไสหัวไปให้ไกลที่สุดยิ่งดี หากข้าเห็นเจ้าอีก ข้าจะทำร้ายร่างกายเจ้า”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกู้ชูหน่วนดุร้ายมากหรืออย่างไร เจียงซวี่ค่อยๆ ถอยหลังไปเรื่อยๆ ด้วยความหวาดกลัวกู้ชูหน่วน
“เยี่ยเฟิง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เจียงซวี่มีความโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงแม้จุดจบของเขาจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมควรได้รับความสงสาร อีกทั้งใครจะไปรู้ว่าเขาเสียสติจริงหรือว่าแสร้งโง่ เจ้าอยู่ให้ห่างเขาเอาไว้เถอะ”
“ได้ ข้าจะเชื่อเจ้า การไปนิกายเทพอสูรครั้งนี้ ข้าอาจจะเป็นคนธรรมดาอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิตกับยายเยี่ยและจะไม่เหยียบเข้ามายังโลกนี้อีกแม้แต่ก้าวเดียว”
“แน่ใจหรือว่าจะไม่อยู่ร่วมฉลองพิธีแต่งงานของข้าก่อนจะจากไป?”
“ข้าคงไม่ได้อยู่ร่วมฉลองพิธีแต่งงานของเจ้า แต่ข้าจะอวยพรให้เจ้าจากที่ห่างไกลออกไป”
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม ทั้งสองเห็นคำอวยพรจากดวงตาของกันและกัน
และก็เป็นตอนนี้เอง เจียงซวี่ที่เสียสติแต่เดิมนั้น จู่ๆ แววตาของเขาก็แสดงถึงเจตนาของการสังหาร
เมื่อเขาพลิกฝ่ามือ มีดที่เย็นเฉียบก็แทงเข้าไปที่หลังของเยี่ยเฟิงในจุดที่ตรงกับหัวใจ