คำพูดของกู้ชูหน่วนในไม่ช้าก็ได้กลายเป็นครอบครัวไปเสียแล้ว ซึ่งทำให้เซี่ยวอวี่เซวียนและแววตาของจอมมารเป็นประกายขึ้นและอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่ากู้ชูหน่วนจะชอบเขาแล้วจริงๆ
“เสี่ยวเซวียนเซวียนยากนักที่เจ้ากับข้าจะได้พบเจอกัน เมื่อครู่ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังจะไปดื่มสุราทีหอสุราชุนเฟิงเมืองอวี๋ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะเป็นเจ้ามือข้าเลี้ยงพวกเจ้าดื่มสุราเอง”
จอมมารมีท่าทีที่เป็นมิตรพร้อมกับรอยยิ้มในดวงตา
ในใจได้คิดเอาไว้ว่าจะประจบเซี่ยวอวี่เซวียนเพื่อในภายหน้าจะได้แต่งงานกับกู้ชูหน่วนได้ง่าย
เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้นอกเหนือจากกู้ชูหน่วนแล้วเป็นครั้งแรกที่พูดคุยกับผู้อื่นอย่างอ่อนโยน
เซี่ยวอวี่เซวียนถูกกู้ชูหน่วนเรียกว่าเสี่ยวเซวียนเซวียนก็ช่างเถอะ
แต่จอมมารก็เรียกว่าเสี่ยวเซวียนเซวียนซึ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ
แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ชายเสี่ยวจิ้วจื่อน้องชายภรรยาในอนาคตขุ่นเคืองได้จึงทำได้เพียงกล่าวอย่างไพเราะว่า “คือว่า……ไม่เช่นนั้นเจ้าก็เรียกชื่อข้าดีกว่า เสี่ยวเซวียนเซวียนสามคำนี้ จริงๆแล้ว……อืม……ค่อนข้าง……”
“ข้าเข้าใจข้าเข้าใจ ต้องเรียกว่าน้องชาย น้องชายไม่รู้ว่าจะได้รับเกียรติเชิญท่านไปดื่มสุราที่หอสุราชุนเฟิงสองสามจอกได้หรือไม่”
เซี่ยวอวี่เซวียนตามความคิดในสมองของจอมมารไม่ทัน
เรียกเขาว่าน้องชาย?
ไม่ใช่ว่าควรเรียกว่าเสี่ยวจิ้วจื่อหรอกหรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันดังนั้นจอมมารอายจึงได้เรียกเขาว่าน้องชาย?
ก็ใช่ เช่นไรสถานะตอนนี้ของแม่สาวอัปลักษณ์ก็เป็นถึงพระชายาหานของเทพแห่งสงคราม
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องพยายามเป็นอย่างมากเพื่อหาวิธีลบสถานะพระชายาหานนี้ของนางออกถึงจะได้
เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายเกรงใจไปแล้ว เหล้าจอกนี้เช่นไรก็ควรเป็นข้าที่เชิญ หากว่าเจ้าไม่รังเกียจพวกเราดื่มกันสามวันสามคืนเป็นเช่นไร?”
คราวนี้จอมมารตกตะลึงไปเลย
เหตุใดเสี่ยวเซวียนเซวียนไม่เรียกเขาว่าเสี่ยวจิ้วจื่อ?
เรียกว่าเสี่ยวจิ้วจื่อนั้นมีช่างพลังอำนาจขนาดไหน
หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้สู่ขอพี่หญิงอย่างเป็นทางการ? ดังนั้นเซี่ยวเซวียนซวียนจึงได้อายที่จะเรียกเขาว่าเสี่ยวจิ้วจื่อ?
จอมมารยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้และก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเซี่ยวอวี่เซวียนถึงได้เรียกเขาว่าน้องชาย
จอมมารยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “แน่นอนว่าไม่รังเกียจสุราที่เจ้าเลี้ยงข้านั้นวอนขอยังไม่ได้เลย แต่ว่าครั้งแรกที่พบเจอกันต้องให้น้องชายเลี้ยง”
“น้องชายเลี้ยงดีกว่านะ”
“มาน้องชาย”
“……”
ทั้งสองคนพูดคำว่าน้องชายไปมาจนกู้ชูหน่วนนั้นถูกทำให้สับสนงุนงงไปเลย
“พวกเจ้าสองคน ตกลงใครเป็นน้องชายใครเป็นพี่ชายกันแน่”
จอมมาร “ข้าเป็นน้องชาย”
เซี่ยวอวี่เซวียน “ข้าเป็นน้องชาย”
“ไม่ไม่ไม่ ข้าต่างหากที่เป็นน้องชาย”
“ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนไปแล้ว ข้าถึงจะเป็นน้องชาย”
“……”
เจ้าสองคนนี้ สมองสับสนงุนงงดังถูกลาหนีบหรือ?
ยังมีคนแย่งกันเป็นน้องชายอีกหรือ?
กู้ชูหน่วนไม่เข้าใจในสถานการณ์จึงทำได้เพียงไปยังหัวข้อสนทนาอื่น จากนั้นถามจอมมารว่า “เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
“ร่างของเจ้ามีเกสรดอกลำโพงของข้า ข้าตามกลิ่นเกสรหาพี่หญิงจนพบ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้จอมมารทำราวกับเด็กที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ไม่ได้รับความยถติธรรม “พี่หญิงทิ้งอาม่อไว้ตามลำพังในจวนหานอ๋องอาม่อนั้นกลัวแทบตายแล้ว ดูสิอาม่อถูกทุบตีจนเป็นเช่นนี้แล้ว”
อะไรวะ……
หากไม่รู้ว่าเขาเป็นจอมมารนางก็เกือบจะเชื่อแล้ว
ชายผู้นี้ช่างเสแสร้งได้ดีนัก
เขาคิดว่านางตาบอดหรือ? ไม่รู้ว่าเขาต่อสู้กับเทพแห่งสงครามได้อย่างมีกำลังอานุภาพมากเท่าใด ทั่วทั้งท้องฟ้าถูกพวกเขาทำให้สภาพแปรเปลี่ยนไปเลย
กู้ชูหน่วนดมกลิ่นบนร่างกายของเขาแต่ไม่ได้กลิ่นของดอกลำโพงทว่ากลับมีกลิ่นแป้งอยู่บ้าง
นางโมโหเล็กน้อย “เจ้าตามเฝ้าสังเกตข้าหรือ?”
“จะทำได้เช่นไร อาม่อกลัวว่าจะหลงทางและหาพี่หญิงไม่พบจึงได้ทิ้งกลิ่นบางอย่างไว้ในร่างกายของเจ้า”
“รีบลบกลิ่นออกไปเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า”