กู้ชูหน่วนเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นพันๆ ครั้งกว่าจอมมารจะยอมกลับไป ก่อนกลับไปยังต้องสาบานไม่หยุดว่าจะนางจะตามไปหาเขาที่เผ่าปีศาจแน่นอน นั่นเองจอมมารผู้ยิ่งใหญ่จึงกลับไปได้
เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวว่า “แม่สาวอัปลักษณ์ งั้นตอนนี้เราจะไปหอสุราชุนเฟิงหรือว่าจะไปที่สำนักศึกษาวังหลวง”
กู้ชูหน่วนจ้องมองไปข้างหน้าและถอดถอนใจ “ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นทางไหน จุดจบของข้าก็คงน่าอนาถทั้งนั้น”
ยังไม่ทันที่เซี่ยวอวี่เซวียนจะตอบอะไร ประตูใหญ่ก็ถูกใครบางคนถีบอย่างแรงจนประตูเปิดออก จากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยจิ่งหานก็หลั่งไหลเข้ามาและยืนเรียงแถวสองแถว ล้อมนางกับเซี่ยวอวี่เซวียนเอาไว้
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยเข็นเยี่ยจิ่งหานที่มีสีหน้าอึมครึมตามเข้ามาทันที
รอบกายของเยี่ยจิ่งหานเต็มไปด้วยออร่าของจิตสังหาร เขามีสีหน้าอึมครึม ร่างกายเย็นเยียบจนแทบจะแช่แข็งคนให้ตายได้
ภายใต้หน้ากากผี ตาข้างหนึ่งของเขายังเป็นสีม่วงคล้ำ จมูกยังเอียงไปด้านหนึ่ง ทว่าดวงตาที่ถูกฟาดจนเป็นสีม่วงคล้ำนั้นเป็นคนละข้างกับที่จอมมารโดนเมื่อครู่นี้
กู้ชูหน่วนลูบหน้าผากตัวเอง
นางไม่กล้าสบตากับสายตาของเยี่ยจิ่งหานที่เหมือนจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อ ทั้งยังไม่กล้าคิดด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
เซี่ยวอวี่เซวียนยืนขวางหน้ากู้ชูหน่วนเอาไว้และเอ่ยอย่างโมโหว่า “ท่านคิดจะทำอะไร”
พรึ่บ!
เยี่ยจิ่งหานสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งจนเซี่ยวอวี่เซวียนกระเด็นออกไป จากนั้นเหล่าองครักษ์จึงรีบคุมตัวเขาออกไป
“ปล่อยข้านะ เยี่ยจิ่งหาน ท่านคิดจะทำอะไร เป็นข้าที่บังคับให้นางออกมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ถ้าท่านมีฝีมือจริงๆ ก็อย่าทำให้ผู้หญิงต้องอับอายสิ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
องครักษ์ปิดปากเซี่ยวอวี่เซวียนและคุมตัวเขาออกไปทันที
ในลานกว้างที่รกร้างและทรุดโทรม นอกจากเสียงลมหนาวที่ดังหวีดหวิวก็มีเพียงเสียงสวบสาบของใบไม้ที่ร่วงหล่นให้ได้ยิน
หนาว
หนาวยิ่งกว่าอากาศช่วงเดือนสิบสองเสียอีก
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยจิ่งหานยืนหลังตรงและนิ่งงันราวกับรูปปั้น
สายตาที่คมกริบของเยี่ยจิ่งหานกำลังจ้องมองนางอย่างเยือกเย็น เขาไม่พูดอะไรสักคำ และนั่นเองที่ทำให้กู้ชูหน่วนยิ่งหวาดกลัว เพราะนั่นคือความสงบเงียบก่อนจะเกิดพายุ
กู้ชูหน่วนยิ้มแหย “นั่นมัน… ข้ากลัวการแต่งงาน ก็เลยอยากออกมาสูดอากาศแล้วค่อยกลับไป”
“…..”
เงียบ ยังคงเงียบจนน่าแปลกใจ
กู้ชูหน่วนคิดหาเหตุผลมาเสริมอีกว่า “มีคนเล่าลือกันว่าท่านโหดร้ายและกระหายเลือด ฆ่าคนได้เหมือนผักปลา ข้ากลัวว่าอยู่ๆ ท่านจะฆ่าข้า ซึ่งนั่นข้าไม่ได้ห่วงอะไร แต่ที่ข้าห่วงก็คือแล้วลูกในท้องของข้าล่ะ จะทำอย่างไร”
เงียบ เงียบจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยนิ่งเงียบ
พระชายาน่ะหรือจะกลัว?
ล้อเล่นอะไรอยู่
ถ้านางกลัว นางจะกล้าหนีงานแต่งมากับเซี่ยวอวี่เซวียนรึ
พวกเขาไม่เคยเห็นผู้เป็นนายโกรธขนาดนี้มาก่อน
ต่อให้คราวก่อนจะถูกพระชายาฝืนใจขนาดไหนนายท่านก็ยังไม่โกรธเท่านี้
เกรงว่าคราวนี้พระชายาจะไปเตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
เมื่อกู้ชูหน่วนเห็นว่าทุกอย่างที่ทำไปไม่เป็นผล นางจึงเอามือกุมท้องไว้แน่นและทำหน้ายับย่น เอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “โอ๊ย ข้าเจ็บท้องเหลือเกิน เจ็บจะตายอยู่แล้ว เมื่อครู่นี้จอมมารให้ข้ากินยา ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร”
ดวงตาที่เฉียบคมของกู้ชูหน่วนมองเห็นว่ามือของเยี่ยจิ่งหานที่กำลังจับขลุ่ยหยกขาวกำลังสั่นระริก ทว่าเขายังคงจ้องมองนางอย่างเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยพายุที่บ้าคลั่ง
บ้าเอ๊ย…
เจ้าคนขี้เก๊ก
ปกติก็ใช้ได้ผลตลอด แต่วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะเฉยเมยแบบนี้
ลองดูสิว่าใครจะเฉยได้นานกว่ากัน
กู้ชูหน่วนยังคงเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นและกุมท้องไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็คร่ำครวญว่า “ท้องของข้า ลูกของข้า เจ็บจะตายอยู่แล้ว ลูกข้าจะยังรอดอยู่ไหม เยี่ยจิ่งหาน ท่านช่วยไปตามหมอมาที เขาก็เป็นลูกของท่านเหมือนกันนะ โอ๊ย”
ความโกรธในแววตาของเยี่ยจิ่งหานลดลงไปมาก
เขาไม่รู้ว่ากู้ชูหน่วนแสร้งทำหรือว่าเป็นเรื่องจริง
นางหนีออกมาจากงานแต่ง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนกับผู้ชายอีกหลายคน นางเอาเขาไปวางไว้ที่ไหน
“นายท่าน สีหน้าของพระชายาดูไม่ค่อยดีนัก หรือว่า…”
“ให้คนไปเชิญหมอมาเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า”