กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 492
ในท้ายที่สุด ขันทีก็ตะโกนเสียงดัง และดึงสติของทุกคนกลับมา
“พระชายาหาน ลูกธนูทั้งสิบล้วนแต่เข้ากลางเป้า”
เงียบสงบ
ยังคงเงียบสงบ
หลังจากนั้นไม่นาน องค์หญิงตังตังก็ตะโกนว่า “ท่านโกง”
กู้ชูหน่วนแบมือทั้งสองออกอย่างผู้ที่ไร้ความผิด “องค์หญิงตังตัง ท่านเริ่มบิดพลิ้วก่อน ข้าโกงตรงไหนกัน ท่านพูดมาเถอะ ข้าให้คนมาช่วยยิง ให้คนมาช่วยหยิบลูกธนู และปักเข้าไปกลางเป้า”
องค์หญิงตังตังสำลัก
คนจำนวนไม่น้อยตำหนิองค์หญิงตังตัง
ก่อนหน้านี้นางเคยประลองกับกู้ชูหน่วนมาหลายครั้งแล้ว และแพ้ให้กับกู้ชูหน่วน แต่ทุกครั้งนางก็จะกล่าวหาว่าผู้อื่นโกง
มีการโกงหรือไม่นั้น ทุกคนต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจน
หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยกล่าวชื่นชม “พี่ใหญ่ พวกเราคิดมาโดยตลอดว่าท่านเก่งด้านวรรณกรรม ไม่คิดว่าท่านจะเก่งเรื่องการยิงธนูด้วย ท่านจะช่วยสอนให้พวกเราได้เมื่อไหร่ พวกเราก็อยากจะยิ่งธนูทั้งสิบดอกให้เข้ากลางเป้าเช่นกัน ไม่สิ ยิงร้อยดอกเข้าร้อยดอก”
“ไม่ต้องกังวล ยังมีเวลาอีกมาก พรุ่งนี้มีเวลาว่าง ข้าจะสอนพวกเจ้า” กู้ชูหน่วนขยิบตา
องค์หญิงตังตังตะโกนด้วยความโมโห “ยังมีอีกหนึ่งตา มีอะไรน่าภูมิใจ ในเมื่อเป็นการประลองยิงธนู แน่นอนว่าข้าจะไม่คืนคำไปปรลองอย่างอื่น ตาที่สามก็ยังคงเป็นการยิงธนู”
“ได้ จะประลองอย่างไร”
“ข้าต้องการเพิ่มวงล้อไฟอีกสิบวง ท่านขี่ม้าข้ามวงล้อไฟทั้งสิบ จากนั้นก็ยิงลูกธนูสิบดอกพร้อมกัน และต้องให้ลูกธนูทั้งสิบโดนเป้า”
“ดังนั้น ข้าต้องยิงธนูสิบดอกพร้อมกันในครั้งเดียว?”
“ไม่ใช่ ครั้งละสิบดอก ข้าต้องการให้ท่านยิงสิบครั้ง รวมเป็นหนึ่งร้อยดอก และทุกครั้งก็จะต้องขี่ม้าข้ามวงล้อไฟทั้งสิบอัน”
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ที่นั่นต่างก็โกรธเคือง
องค์หญิงตังตังทำเกินไปแล้ว
ต่อให้เป็นเยี่ยจิ่งหานเทพแห่งสงครามก็ยากที่จะทำได้ นับประสากับหญิงผู้หนึ่ง
หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยต่างไม่พอใจ”องค์หญิงตังตัง ท่านกลั่นแกล้งผู้อื่นมากเกินไปแล้ว ใครไม่รู้บ้างว่าม้ากลัวไฟ วงล้อไฟมากมายเช่นนั้น ม้าจะกล้าข้ามไปได้อย่างไร”
“ใช่ และท่านยังกำหนดให้นางยิ่งธนูทั้งสิบในคราเดียว นางเป็นเพียงหญิงสาวที่อ่อนแอ อย่าว่าแต่ลูกธนูสิบดอกเลย แค่ยิงธนูสามดอกในคราวเดียว นางอาจจะไม่สามารถง้างคันธนูได้เลยก็ได้ ท่านรังแกผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด”
“หากนางทำไม่ได้ ก็แค่ยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าไม่ได้บีบบังคับนาง”
“ท่าน…”
หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยโกรธมากจนอยากจะสู้อย่างสุดชีวิต
กู้ชูหน่วนชำเลืองมอง เพื่อบอกพวกเขาว่าอย่าผลีผลาม และกล่าวอย่างจริงใจว่า “ในเมื่อองค์หญิงทรงสนพระทัยมาก เช่นนั้นข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิง แต่หากแพ้หวังว่าองค์หญิงจะทรงเมตตา”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
“หญิงผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ รู้ทั้งรู้ว่าต้องแพ้ แต่นางก็ยังทำให้ตัวเองต้องอับอาย ยอมรับความพ่ายแพ้เสียตอนนี้จะไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่ต้องอับอาย”
“บางทีนางอาจคิดว่าตัวเองสามารถที่จะเอาชนะได้”
“ล้อเล่นอะไร ยากขนาดนี้ นางจะทำได้อย่างไร หากนางทำได้ ข้าจะตัดหัวออกมาให้พวกเจ้าเตะเป็นลูกบอล”
“ไม่อาจพูดได้ มีหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้วที่ทุกคนคิดว่าพระชายาหานทำไม่ได้ แต่นางก็สามารถทำได้ ครั้งนี้บางทีนางอาจสร้างความเหลือเชื่ออีกครั้ง”
“เช่นนั้นเจ้าเชื่อหรือไม่ว่านางจะสามารถทำได้?”
“นี่…ในตอนนี้ยังไม่เชื่อ”
“ก็แค่นั้นเอง”
จักรพรรดิเยี่ยขมวดคิ้ว และร่องรอยของความไม่พอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่อ่อนโยนของเขา “ลืมไปเสียเถอะ วันนี้เป็นวันครอบรอบการโตเป็นผู้ใหญ่ขององค์หญิงตังตัง การรำดำยิงธนูมีอะไรน่าสนุกกัน สู้ดูการร่ายรำจะดีกว่า”
“เสด็จพี่ ท่านเป็นเสด็จพี่ของใครเพคะ ก่อนนี้พระน้องนางของท่านถูกนางรังแกอย่างน่าเวทนา ทำไมถึงไม่เห็นพระองค์ช่วยหม่อมฉันบ้างเลย ข้าไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ข้าเพียงแค่อยากขี่ม้าและยิงธนูบนหลังม้า”
จักรพรรดิเยี่ยถูกปฏิเสธจนเกือบจะสำลัก
หากเขายังพูดอีก เสด็จแม่ก็คงจะไม่พอพระทัย
มุมปากของกู้ชูหน่วนขยับขึ้นเล็กน้อย จักรพรรดิน้อยพระองค์นี้มีคุณธรรม และรู้จักที่จะปกป้อง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่นี่เป็นเพียงการเล่นสนุกระหว่างหม่อมฉันกับองค์หญิงตังตัง ให้พวกเราเล่นกันเถอะเพคะ”
หลังจากที่กล่าวเช่นนั้นแล้ว การประลองในตาที่สามก็สามารถดำเนินต่อไปได้
“พระชายาหานจะทรงเลือกมาด้วยพระองค์เอง หรือจะให้บ่าวเลือกม้าให้พ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าจะเลือกเอง ที่นี่มีม้าแบบไหนบ้าง จูงออกมาดูให้หมด”
ขันทีรับคำสั่งให้ไปจูงม้า และม้าที่ถูกจูงออกมานั้น ทั้งผอมทั้งดำ ไม่มีกำลังวังชาเลยแม้แต่น้อย มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ม้าดี
อวี๋ฮุยฉุนเฉียวขึ้นมาในทันที “นี่เป็นการกลั่นแกล้งกันมากเกินไปแล้ว ในวังไม่มีม้าลักษณะเช่นนี้ ม้าที่จูงออกมาทั้งแก่ทั้งผอม และเป็นม้าที่ป่วย”
ขันทีอธิบายว่า “คุณชายอวี๋ เป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีการชุมนุมแข่งขันม้า ม้าดี ๆ เหล่านั้นจึงถูกนำเข้าไปเข้าร่วมการชุมนุม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถูกนำกลับมา ม้าที่เหลืออยู่ในวัง แม้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ม้าเหล่านี้ก็ได้รับการคัดเลือกออกมาจากม้านับพันตัว”
อวี๋ฮุยโกรธมาก
เห็นเขาเป็นอะไร
หรือว่ารัฐเยี่ยอันเจริญรุ่งเรือง ไม่มีแม้แต่ม้าดี ๆ สักตัว?
แม้แต่จะหาข้ออ้าง ก็ควรจะหาข้ออ้างที่ดีกว่าหน่อย
หลิ่วเย่ว์ดึงเขาไว้แน่น “พระพันปีและฝ่าบาทก็ทรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าใจเย็น ๆ พวกเขากล้าที่จะจูงม้าที่ไม่สมบูรณ์เช่นนี้มา แน่นอนว่าต้องได้รับการสนับสนุนจากพระพันปี หากเจ้าขึ้นไป ก็จะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพันปีอย่างโจ่งแจ้ง”
“แต่พวกเขารังแกกันมากเกินไปจริง ๆ ”
เป็นการรังแกกันมากเกินไปจริง ๆ เขาเองก็ทนไม่ได้ แต่หากขึ้นไป ทั้งครอบครัวของเขาก็จะต้องเดือดร้อน
กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองม้าที่ไม่สมบูรณ์เหล่านั้น โดยไม่มีท่าทีที่ไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย และกล่าวอย่างราบเรียบ “แม้ว่าข้าจะเลือกม้าไม่เป็น แต่ข้าคิดว่าม้าเหล่านี้ค่อนข้างดี และคิดว่าเหมาะสมที่จะเข้าร่วมการประลองครั้งนี้”
ค่อน……ค่อนข้างดี?
นางตาบอดหรือ?
แม้ว่าจะเลือกม้าไม่เป็น แต่ก็ดูออกว่าม้าเหล่านี้ ทั้งแก่ ทั้งอ่อนแอ และป่วย
กู้ชูหน่วนลูบคาง หลังจากเดินวนไปรอบ ๆ ม้าสองสามรอบ นางก็เลือกม้าตัวหนึ่ง
ม้าตัวนั้นทั้งผอมทั้งเตี๊ย และเห็นได้ชัดว่าเป็นม้าที่อายุน้อยมาก หรือไม่ก็อาจจะยังไม่หย่านม
กู้ชูหน่วนเลือกม้าตัวนั้น สายตาของนางช่างแย่เสียจริง
อวี๋ฮุยกระทืบเท้า “พี่ใหญ่ ม้าตัวนี้ยังเด็กมาก และเป็นม้าที่แย่ที่สุดในบรรดาม้าทั้งหมด ท่านต้องเลือกม้าแก่สิ อย่าไปเลือกม้าเด็ก”
“ใช่ ม้าเด็กที่ผอมมากเช่นนี้จะไปทำอะไรได้”
จักรพรรดิเยี่ยเตือนด้วยความหวังดี “เช่นนั้น เจ้าเปลี่ยนเป็นม้าตัวอื่นเถิด”
เขาก็รู้สึกว่าม้าตัวนี้แย่มากเกินไป
กู้ชูหน่วนลูบหัวม้าและยิ้ม “ม้าเด็กสิดี ม้าที่เพิ่งเกิดย่อมไม่กลัวเสือ (ยังไม่มีประสบการณ์) บางทีมันอาจจะกล้าพอที่จะข้ามวงล้อไฟเหล่านั้นก็ได้”
บ้าไปแล้ว หญิงผู้นี้บ้าไปแล้ว
องค์หญิงตังตังยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะให้โอกาสท่านเลือกอีกครั้ง ท่านจะได้ไม่หาวว่าข้ารังแกท่าน”
“ไม่ต้อง ตัวนี้แหละเพคะ ข้าเชื่อในความคิดแวบแรก อีกอย่างข้าคิดว่าเจ้าม้าตัวกับข้ามีวาสนาต่อกัน”
องค์หญิงตังตังยิ้มเยาะ
มีวาสนาต่อกัน
ม้าที่เพิ่งคลอดและยังไม่หย่านมจะรู้เรื่องได้อย่างไร
“เอาล่ะ หวังว่าท่านจะไม่เสียใจภายหลัง”
กู้ชูหน่วนลูบเจ้าม้าสีดำ นางลูบขนของมันเบา ๆ และยิ้ม “พวกเขาคนเหล่านี้มีตา แต่ไม่รู้จักม้าพันลี้ (ม้าที่มีศักยภาพสูง) เจ้าไปกับข้า เราจะสู้เพื่อชัยชนะที่สวยงามไปด้วยกัน พวกเขามีตาแต่หามีแววไม่”
“ฮี่….”
ไม่รู้ว่าม้าตัวที่ทั้งผอมและยังเด็กตัวนั้น จะเฉลียวฉลาดหรือไม่ ไม่คิดเลยว่ามันจะเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงร้อง