กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 567
จิตสังหารพลุ่งพล่านออกมา ทุกคนจ้องมองเยี่ยจิ่งหานอย่างไม่พอใจ
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้ากล้าละเมิดการประลองรึ”
เยี่ยจิ่งหานหัวเราะเยาะและเอ่ยอย่างเหยียดหยาม “ข้าไปแทรกแซงการประลองของทั้งคู่งั้นหรือ”
“นั่น…”
“ปากบางคนโสโครกเกินไป และข้าไม่รังเกียจที่จะทำความสะอาดให้”
ว่าแล้วก็เตือนทุกคนอย่างเยือกเย็นว่า “พระชายาของข้าเป็นผู้ที่สั่งสอนได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะเข้ามาสอด หากใครกล้าด่าว่าพระยาชาของข้าเสียๆ หายๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือเป็นรองหัวหน้าเผ่า ข้าจะจัดการให้หมดโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น”
โอหัง
จะโอหังเกินไปแล้ว
ที่นี่คือเผ่าเพลิงฟ้าแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าเขาที่ตัวคนเดียวทั้งยังบาดเจ็บสาหัสจะกล้าโอหังแบบนี้
เขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
คนของเผ่าเพลิงฟ้านึกอยากจะฆ่าเขาขึ้นมาทันใด
ไป๋จิ่นเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ้าเขาไม่เอ่ยวาจาหยาบคาย เทพแห่งสงครามคงไม่โกรธขนาดนี้ ดูเฉยๆ ต่อไป ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปยุ่งกับการประลอง และอย่าได้แสดงความคิดเห็นในแง่ร้ายตามอำเภอใจอีก”
ไม่รอให้คนอื่นพูดอะไรอีก
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างสดใสพลางพูดและสู้ไปพร้อมๆ กัน “พี่ใหญ่ซ่ง การแข่งขันยังไม่จบ ท่านเพิ่งใจลอย”
ปังๆๆ…
ตูมตาม…
ในลานประลองยุทธ์มีเสียงการต่อสู้ดังขึ้นอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนใช้กระบวนท่าระยะประชิดพร้อมกับเพลงดาบที่ดุร้าย
ทว่านางไม่ได้สัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของซ่งอวี้ เพราะซ่งอวี้หลบหลีกทุกการโจมตีของนางได้อย่างง่ายดาย
นี่คือความแตกต่างระหว่างชั้นสูงสุดระดับสี่กับระดับสอง
ไม่ว่าระดับสองจะพยายามมากเพียงใดก็ยังทำอะไรชั้นสูงสุดระดับสี่ไม่ได้อยู่ดี
การต่อสู้ผ่านไปเกือบร้อยกระบวนท่า แม้ว่ากู้ชูหน่วนจะได้รับบาดเจ็บหลายแห่งแต่ก็ไม่ได้โดนจุดสำคัญ ระหว่างทั้งสองคนยังไม่ตัดสินแพ้ชนะ
สีหน้าของรองหัวหน้าเผ่าซือคงดูแย่ลงกว่าเดิม
“ซ่งอวี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าเอาชนะนางให้ได้โดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ…”
ซ่งอวี้ไม่อยากโจมตีจนนางพ่ายแพ้ แต่ยุทธวิธีของกู้ชูหน่วนล้วนเป็นแบบสะเปะสะปะ ถ้าเขาตอบโต้กลับจริงๆ ต่อให้ไม่ตาย กู้ชูหน่วนก็คงบาดเจ็บสาหัส
ดังนั้นทุกครั้งที่ลงมือเขาจึงยอมอ่อนข้อให้
การยอมอ่อนข้อของเขานอกจากจะไม่ทำให้กู้ชูหน่วนถอยกลับ แต่ยังทำให้นางประชิดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
คำพูดที่รองหัวหน้าเผ่าซือคงและผู้อาวุโสทุกคนพูดก่อนเริ่มการแข่งขันค่อยๆ ดังชัดเจนในความคิด และซ่งอวี้ก็ไม่กล้าฝ่าฝืน
พูดได้แต่เพียงว่า “แม่นาง ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ยอมแพ้เสียเถอะ จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บล้มตาย”
“ยอมแพ้? เฮอะ ในพจนานุกรมของข้าไม่เคยมีคำว่ายอมแพ้”
ปังๆๆ…
นี่คือการดิ้นรนต่อสู้อย่างสิ้นหวังอีกครั้ง ซ่งอวี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือ
ดาบอ่อนกับฝักดาบปะทะกัน กำลังภายในที่แข็งแกร่งสั่นสะเทือนไปถึงเลือดและลมปราณของกู้ชูหน่วน รุนแรงจนเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากมุมปากของนาง
บ้าชะมัด…
ชั้นสูงสุดระดับสี่อย่างไรเสียก็คือชั้นสูงสุดระดับสี่ ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่านางมาก
ตูม!
เมื่อกระบวนท่าหนึ่งล้มเหลว กู้ชูหน่วนก็ใช้กระบวนท่าใหม่ เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
สุดท้าย…
เสียงกระแทกของนางดังสะท้านไปไกล นางขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความทรมาน
หัวใจของจอมมารหล่นวูบ เขาลุกขึ้นโวยวายและยกมือขึ้นเตรียมจะฆ่าซ่งอวี้
เยี่ยจิ่งหานก้าวเข้ามาขวางหน้าไว้อย่างทันท่วงที เขาเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “นางไม่ต้องการให้เจ้าเข้าไปแทรกแซงการประลองครั้งนี้”
“เยี่ยจิ่งหาน ถ้าเจ้าไม่กล้าลงมือก็ไสหัวไปซะ”
เยี่ยจิ่งหานทำหน้าไม่พอใจ
อย่างร้ายที่สุดก็แค่ตาย มีหรือที่เขาจะไม่กล้า เพียงแต่ว่าด้วยนิสัยของกู้ชูหน่วน ถ้าวันนี้เขายื่นมือไปแทรกแซง เขากลัวว่านางจะโกรธเกลียดเขาไปตลอดชีวิต
กู้ชูหน่วนถุยเลือดในปากทิ้งและลุกขึ้นอย่างลำบาก เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าหมาน้อย นี่เป็นการประลองระหว่างข้ากับเขา เจ้าอย่ามายุ่ง”
นี่เป็นการประลองที่ผู้แข่งขันมีระดับความแข็งแกร่งแตกต่างกันมาก กู้ชูหน่วนถูกพัดปลิวไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็บุกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย จนผู้ที่ดูอยู่ยังอดกลัวไม่ได้
หลายคนแสดงอาการออกทางสีหน้า ทุกครั้งที่กู้ชูหน่วนถูกโจมตี พวกเขาต่างคิดว่าชีวิตน้อยๆ ของนางจะจบสิ้นแล้ว ทว่าไม่ว่าจะบาดเจ็บสักกี่ครั้งหรือเสียเลือดมากแค่ไหน นางก็ยังกัดฟันลุกขึ้นมา
มีหลายครั้งที่จอมมารอดไม่ได้ที่จะลงมือ แต่กู้ชูหน่วนก็ไล่ออกไปทุกครั้ง
โทสะของเยี่ยจิ่งหานรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับใกล้จะระเบิดเต็มที
ปลายนิ้วที่แหลมคมของสีชิ่นกำเก้าอี้ไว้แน่น
แม้ว่าไป๋จิ่นจะยิ้ม แต่คนที่รู้จักและคุ้นเคยกับนางย่อมดูออกว่านางกำลังโกรธ ยิ่งรอยยิ้มของนางงดงามมีเสน่ห์มากแค่ไหน ความโกรธของนางก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
แม้แต่ซ่งอวี้ก็ยังทำอะไรไม่ถูก
เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจจะปลิดชีวิตนาง แต่รองหัวหน้าเผ่ากลับสั่งให้เขาทำ
เขามีความคิดจะปล่อยนางไป แต่เป็นนางที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรและบังคับให้เขากับนางต้องพากันพังพินาศครั้งแล้วครั้งเล่า และนั่นทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและส่งสาร
“แม่นาง มาจบการประลองกันดีกว่า”
“เป็นผู้ชายตัวใหญ่เสียเปล่า มัวแต่จู้จี้อะไรอยู่ได้ ดูกระบวนท่าสิ”
บูม!
กู้ชูหน่วนกระเด็นไปปะทะกับแผ่นหินขนาดใหญ่อย่างรุนแรงหลังจากกระบวนท่านั้น มันเป็นพลังโจมตีที่รุนแรงจนแผ่นหินถูกนางกระแทกแตก
“พี่หญิง…”
จอมมารทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขายกมือขึ้นส่งดอกลำโพงที่บานสะพรั่งไปทางซ่งอวี้
บูมๆๆ
เยี่ยจิ่งหานยื่นมือมาหยุดการโจมตีของดอกลำโพง
“เจ้านี่มันยุ่งนัก วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้”
เมื่อเห็นว่าจอมมารกับเยี่ยจิ่งหานกำลังจะสู้กันอีกครั้ง กู้ชูหน่วนก็โกรธจนกระอักเลือดออกมา
“ซือม่อเฟย ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับการประลอง เจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องงั้นหรือ”
“การรังแกคนอ่อนแอเนี่ยนะ มีอะไรที่เรียกว่าการประลอง มีข้าอยู่ทั้งคน ใครมันกล้าแตะต้องท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการประลองที่น่ารังเกียจเช่นนี้”
“สิ่งที่คนอย่างข้าสัญญาไว้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากเจ้าเข้ามายุ่งอีกครั้ง ข้าจะไม่เป็นสหายของเจ้าอีกต่อไป”
กู้ชูหน่วนมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมถอย จอมมารได้ยินแล้วถึงกับสำลักจนพูดไม่ออก
เขารู้จักกู้ชูหน่วนมาระยะหนึ่งแล้ว นิสัยของนางนั้นเขาก็พอรู้อยู่บ้าง
ผู้หญิงคนนี้หัวแข็งและดื้อรั้น ลงว่าตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าใครก็เปลี่ยนใจนางไม่ได้
จอมมารกัดฟันกล่าวไปว่า “คนแซ่ซ่งนั่น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาง พวกเจ้าเผ่าเพลิงฟ้าเตรียมตัวนองเลือดได้เลย”
กู้ชูหน่วนโซซัดโซเซไปข้างหน้า ดวงตาของนางปิดสนิท ทว่าที่ฝ่ามือของนางมีหมอกสีแดงเพลิงแผ่ออกมา แม้แต่ดาบทั้งด้ามยังเปลี่ยนเป็นสีเลือด
บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นกลิ่นคาวเลือดน่าขนลุก
ทุกคนเรียกสติตัวเอง
นี่มันวิชายุทธอะไรกัน
ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก
จอมมารหันไปมองเยี่ยจิ่งหานและถามเขาด้วยสายตาว่านี่คือวิทยายุทธอะไร พี่หญิงที่อายุยังน้อยจะมีวิชายุทธที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร
เยี่ยจิ่งหานส่ายหน้า
เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาแปลกใจได้เสมอ
ใบหน้าของสีชิ่นสงบนิ่ง ดูเหมือนนางจะไม่มีความคิดเห็นใดต่อการเคลื่อนไหวนี้
ไป๋จิ่นตกตะลึง
นี่คือวิชาต้องห้ามของเผ่าน้ำแข็ง กู้ชูหน่วนใช้วิชาต้องห้ามของเผ่าน้ำแข็งของพวกนางได้อย่างไร
ตูม!
ฟ้าร้องครืนคราน ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสถูกเมฆดำปกคลุมอย่างฉับพลัน พลังวิญญาณของเผ่าเพลิงฟ้าพุ่งมาบรรจบที่กู้ชูหน่วนและผสานรวมกันในดาบของนาง
แววตาของซ่งอวี้เคร่งขรึม พลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่อยู่ในระดับสองจะสร้างขึ้นมาได้ พลังเช่นนี้ อย่างน้อยๆ คนใช้ก็ต้องอยู่ในระดับที่สี่
ซ่งอวี้ไม่กล้ามองข้ามเมื่อเห็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งนั้น จากนั้นจึงใช้พละกำลังเจ็ดในสิบในการต่อสู้
พลังของทั้งสองปะทะเข้าหากันจนเกิดแสงสีขาวประกายวาบ
กู้ชูหน่วนถูกพัดปลิวไปอีกครั้งอย่างไม่น่าแปลกใจ ร่างกายของนางหาทางลงมาไม่ได้เหมือนว่าวที่เชือกขาด
ทว่าดาบของซ่งอวี้ไม่รู้ว่าหลุดออกจากฝักตั้งแต่เมื่อใด ใบหน้าของเขาซีดเผือด
ดาบของซ่งอวี้หลุดจากฝักแล้ว ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้แพ้ในการประลองรอบนี้