กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 612
ในวันนี้คนรับใช้ของจวนหานอ๋องซื้อเนื้อทั้งหมดในเมืองมาจนหมด รวมทั้งยังส่งคนรับใช้มากมายไปซื้อเนื้อเป็นจำนวนมากที่นอกเมือง
ในวันนี้ ประตูใหญ่ของจวนหานอ๋องปิดไว้หนาแน่น งูหลากหลายสีสันต่างพากันแย่งกันเข้ามาก่อนกระจัดกระจายกันทั่วโดยที่เป้าหมายเป็นหนึ่งเดียวคือปีนป่ายเข้าจวนหานอ๋อง
ในวันนี้ จวนหานอ๋องได้ยินเสียงงูดังฟ่อฟ่อฟ่ออย่างต่อเนื่องรวมทั้งกลิ่นเนื้อย่างหอมกระจายออกมาไม่หยุด
ในวันนี้ได้ยินเรื่องการกลับมาของพระชายาหานไม่น้อยและต้องการเชิญให้นางเล่านิยายเรื่องนางพญาหวนคืนเมื่อมีทรราชที่ค้างไว้ก็ตกใจหวาดกลัวจนหนีกันไปเลย
ในวันนี้กู้ชูหน่วนปลอมตัวเป็นผู้ชายและกระโดดข้ามกำแพงไปในขณะที่จวนหานอ๋องกำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่
ศาลาหลิงเซวียนตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดของจวนอ๋อง เมื่อมองลงมาจากที่นี่จะสามารถมองเห็นจวนอ๋องทั้งหมดได้และก็สามารถมองจะเห็นว่าสวนดอกไม้ทั้งจวนอ๋องเต็มไปด้วยงูบ้าบิ่นทั้งหลายที่กินเนื้อย่างกันอย่างครื้นเครง
เจี้ยงเสวี่ยแว๊บผ่านไปราวกับสายลมอันสดชื่นและก็ได้มาถึงยังตรงหน้าของเยี่ยจิ่งหาน
“นายท่าน พระชายาปลอมตัวเป็นชายหนีออกไป แล้วซึ่งในขณะนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังจวนท่านเม่ทัพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่บนศาลาพร้อมกับมืออันขาวเรียวถือสุราไหหนึ่งและดื่มเอง สายลมพัดผ่านและเป่าผมดำสนิทของเขาสยายราวกับได้ออกจากโลกโดยอยู่เพียงลำพัง
เขาไม่ได้แปลกใจกับคำพูดของเจี้ยงเสวี่ยมากนักราวกับว่าคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นเวลานานเยี่ยจิ่งหานก็กล่าวออกมาว่า “แล้วแต่นางเถอะ ส่งคนคุ้มกันนางลับๆก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ……”
เจี้ยงเสวี่ยกล่าวจบกลับยังไม่ได้จากไปทว่ารู้สึกลังเลใจ
“ต้องการพูดสิ่งใดก็พูดมาเถอะ”
“นายท่าน ท่านว่าพระชายาจะลงมือได้ลงหรือไม่?”
ท่าทีดื่มสุราของเยี่ยจิ่งหานชะงักลงจากนั้นก็วางแก้วลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรงและมองไปทางจวนท่านแม่ทัพโดนที่ไม่ได้ตอบ
เจี้ยงเสวี่ยไม่กล้าถามคำถามใดๆด้วยความสนใจอีก ร่างของเขาแว๊บผ่านได้จากไปแล้ว เหลือเพียงเยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่ในศาลาบนที่สูงเพียงลำพัง
บนถนนหนทางในเมืองหลวง
กู้ชูหน่วนเดินมาตลอดทางและทุกๆคนก็วิพากษ์วิจารณ์กัน
“ได้ยินแล้วหรือยังว่าในจวนหานอ๋องมีผีร้ายอยู่ มีงูจำนวนมากมายได้วิ่งไปยังจวนหานอ๋องกันทัังสิ้น”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง จวนหานอ๋องเป็นเทพแห่งสงครามที่อาศัยอยู่ คนเสียชีวิตในมือของเทพแห่งสงครามไม่เพียงนับพันนับหมื่น วิญญาณชั่วร้ายใดจะกล้ากลับมาคุกคาม?”
“จริงๆนะ ไม่เขื่อเจ้าก็ดูสิ……มีงูอีกกลุ่มหนึ่งคลานผ่านไปหล่ะสิ”
“โอ๊ย สวรรค์ เหตุใดถึงได้มีงูมากมายเช่นนี้ คนของจวนหานอ๋องไม่จัดการเลยหรือ? พวกเขาไม่คิดหาวิธีไล่งูออกหรือ?”
“ที่น่าแปลกใจก็อยู่ที่นี่ จวนหานอ๋องยังได้ออกประกาศห้ามทุกคนฆ่างู จับงู ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกฆ่าให้สิ้นซาก”
“เจ้าได้กลิ่นหรือไม่ จวนหานอ๋องส่งกลิ่นเนื้อย่างออกมาไม่ขาดสายจนทำให้ผู้คนรู้สึกอยากกินแทบตายแล้ว”
“ได้ยินมาว่าหานอ๋องส่งคนมาซื้อเนื้อทั้งหมดในเมืองหลวงแล้วยังได้ซื้อเนื้อมากมายนอกเมืองกลับไปด้วยทำให้ตอนนี้ไม่มีเนื้อสัตว์ในเมืองทั้งใกล้ไกลแล้ว”
“ข้าก็ได้ยินมาแต่ว่าข้าไม่เข้าใจ จวนหานอ๋องซื้อเนื้อมากมายเช่นนี้ไปทำสิ่งใด? พวกเขากินหมดหรือ?”
กู้ชูหน่วนนั่งอยู่ที่โรงน้ำชาหนึ่ง ด้านหนึ่งดื่มชาอีกด้านหนึ่งฟังผู้คนซุบซิบนินทากัน
เพียงแค่ได้ยินชายวัยกลางคนกล่าวลับๆล่อๆว่า “ข้าจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้พวกเจ้านะ ได้ยินมาว่าตัวตนที่แท้จริงของหานอ๋องเทพแห่งสงครามเป็นผีร้าย เขาอยากจะกินเนื้อคนแต่ก็กลัวข่าวจะแพร่ออกไปดังนั้นจึงได้สั่งให้คนซื้อเนื้อเป็นจำนวนมากโดยที่เช่นนี้ทำให้ผู้คนเกิดความสับสน ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเขากินเนื้อหมูเนื้อแกะ แท้ที่จริงแล้วเขากินเนื้อคนอยู่”
“พรวด……”
กู้ชูหน่วนพุ่งน้ำชาคำหนึ่งออกมา เกือบจะถูกคำพูดของชายผู้นั้นฟาดเอา
ทุกๆคนมองไปยังกู้ชูหน่วนด้วยความพร้อมเพรียงกัน
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าสำลัก ขอโทษด้วย”
ทุกคนหันสายตากลับและซุบซิบกันต่อ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเทพแห่งสงครามเป็นผีร้ายแล้วยังกินเนื้อคนด้วย?”
“ข้ามีญาติคนหนึ่งของญาติคนหนึ่งของญาติคนหนึ่งทำงานอยู่ในนั้น เป็นเขาที่บอกกับข้าเองและยังบอกว่าท่านอ๋องสามารถควบคุมงูได้ งูพิษเหล่านั้นถูกเขาเรียกมาทั้งสิ้น เป็นไปได้ที่ท่านอ๋องจะต้องการทำการกบฏ”
“อ๊า……จริงหรือเท็จ แต่ด้วยกำลังของท่านอ๋องต้องการราชบัลลังก์ก็ช่างง่ายดายนักจำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ?”
“ชู่ว์ เรื่องก่อการกบฏเช่นนี้เจ้าก็กล้าพูด”
“ใช่ๆๆๆ พูดไม่ได้ พูดไม่ได้”
“ข้าจะแอบบอกความลับอีกอย่างหนึ่งให้พวกเจ้า พวกเจ้าคงรู้จักพระชายาหานสินะ?”
“รู้จักสิ ได้ยินมาว่าเทพแห่งสงครามรักใคร่นางไปจนถึงกระดูกแล้ว”
“จุ๊ๆๆ เจ้ารู้เพียงหนึ่งเรื่องไม่รู้เรื่องที่สอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านอ๋องถึงได้รักใคร่นางนักนั่นเนื้องจากว่านางมีผิวอันละเอียดและนุ่มนวล ผิวกายนั้นนุ่มนวลกว่าหญิงสาวธรรมดาทั่วไปบางส่วน เทพแห่งสงครามอยากจะกินนางถึงได้ดีกับนางเช่นนี้ เมื่อสองวันก่อนพระชายาถูกท่านอ๋องกินไปแล้ว”
“อ๋า……อะไรนะ……ข่าวนี้จริงหรือหลอกเหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าลึกลับเช่นนั้น”
“ก็ต้องเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็คอยดูต่อไป อีกไม่กี่วันข่าวก็จะต้องแพร่ออกมาแน่นอน”
กู้ชูหน่วนเกือบจะพุ่งน้ำชาออกมาอีกคำหนึ่ง
คนเหล่านี้กินอิ่มแล้วว่างกันจริงๆ เรื่องอะไรก็สามารถจินตนาการอกมาได้ทั้งสิ้น
นางเงยหน้าขึ้นกลับมองเห็นธงๆหนึ่งปักอยู่เบื้องหน้า บนธงมีตัวอักษรเซี่ยวเขียนอยู่
ด้านข้างของธง มีสตรีผู้อ่อนโยนจากตระกูลขุนนางตั้งครรภ์ผู้หนึ่งได้พาคนรับใช้มาแจกจ่ายข้าวต้มให้กับราษฎร
ด้านหน้าโรงข้าวต้ม ผู้ลี้ภัยตั้งแถวยาวเหยียดพร้อมยืดคอยาวรอข้าวต้มแจกจ่าย
กู้ชูหน่วนเพียงชำเลืองมองดูหญิงสาวผู้นั้นและทิ้งความประทับใจดีเอาไว้
หญิงสาวอายุยังน้อยและตั้งครรภ์ได้ประมาณเจ็ดหแปดเดือน นางมีท่าทางสง่างาม แววตาอ่อนโยน มุมปากบังเกิดรอยยิ้มบางๆอยู่ด้วย ทั่วทั้งร่างกายเกิดกลิ่นไอของความเมตตาปราณี
ปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยอย่างถ่อมตน ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจพวกเขาที่สกปรกแต่ยังทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และบอกกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้ยังสามารถมารับอาหารที่นี่ต่อได้
กู้ชูหน่วนถามเถ้าแก่ของโรงน้ำชา
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ดูหน้าตามีเมตตานัก”
เถ้าแก่โรงน้ำชาได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มออกมา “คุณหนู ท่านไม่ได้มาเมืองหลวงเป็นเวลานานแล้วสินะ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เพื่อค้นหาไข่มุกมังกรแล้วนางไปทั่วทุกสารทิศและไม่ได้กลับมาในเมืองหลวงเป็นเวลานานแล้ว
“นางป็นบุตรสาวคนที่สามของแม่ทัพเซี่ยวชื่อเซี่ยวหวั่นเอ๋อร์ และเป็นผู้ที่รู้จักกันดีในเมืองหลวงว่าเป็นผู้มีเมตตายิ่งนัก ช่วงก่อนรัฐเยี่ยต่อสู้กับที่อื่นและผู้คนมากมายสูญเสียบ้านไร้ที่อยู่อาศัยกลายเป็นผู้พลัดถิ่น บางส่วนถูกเนรเทศมาถึงที่เมืองหลวง คุณหนูเซี่ยวสงสารพวกเขาทุกวันนางจะควักเงินในกระเป๋าของนางเองซื้อข้าวซื้อยาและแตกจ่ายข้าวต้มช่วยเหลือผู้คนอยู่ที่นั่น”
“นอกจากในเมืองหลวงแล้วนางมักจะออกไปนอกเมืองเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัย หากว่าไม่มีนางก็ไม่รู้ว่าผู้ลี้ภัยจะต้องอดตายมากเพียงใด”
“นางไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่หรอกหรือแล้วยังออกไปนอกเมืองเพื่อช่วยผู้ลี้ภัยด้วยตนเอง?”
“ก็ใช่หน่ะสิ ไปทุกวันด้วย คนในจวนท่านแม่ทัพและจวนเสนาบดีเกลี้ยกล่อมนางกันหมดแต่นางยืนกรานที่จะไปเนื่องจากเกรงว่าคนด้านล่างจะไม่เอาใจใส่ คุณหนูเซี่ยวจิตใจดีจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นผู้คนยากจนมากมายในเมืองหลวงก็ได้รับความช่วยเหลือจากนางทั้งสิ้น”
กู้ชูหน่วนมองไปยังหญิงสาวที่วุ่นอยู่โดยที่มุมปากเผยอขึ้น
ความมีเมตตานี้คล้ายกับเซี่ยวอวี่เซวียนยิ่งนัก
หน้าตาก็ดูเหมือนเซี่ยวอวี่เซวียนเช่นกัน
“นางคือฮูหยินเสนาบดีหรือ?”
“ใช่ นางเป็นฮูหยินของเสนาบดีกรมพิธีการเสนาบดีกรมพิธีกรรมก็เป็นขุนนางที่ดี พวกเขาสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกัน เงินให้จวนทุกๆเดือนก็นำออกมาบริจาคให้คนยากจนซึ่งได้รับความรักจากคนยากจนมากนัก ”