กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 625
“เจ้าสารเลวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมาจากที่ใดกัน ถึงกับกล้าลอบสังหารท่านพี่หน่วนของข้า มาดูกันว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร”
“ชิ้งชิ้งชิ้ง……”
ทั้งสามคนยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งไกลออกไป มีเพียงพื้นดินที่สั่นไหวไม่หยุดและแม้แต่สภาพแวดล้อมโดยรอบก็ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นไอสังหารอันแรงกล้า
เซี่ยวอวี่เซวียนก็ต้องการไล่ตามไปช่นกันแต่กู่ชวนรั้งเขาเอาไว้และไปนั่งใต้ต้นไผ่ จากนั้นหยิบอาหารในถุงแล้วโยนบางส่วนให้เซี่ยวอวี่เซวียน
กล้าวด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “มีพวกเขาก็พอแล้ว เจ้ามัวแต่ดูความครึกครื้นอันใดอยู่รีบกินเข้าเถอะ กินเสร็จแล้วต้องรีบออกเดินทางอีก”
“คนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน? แม่สาวอัปลักษณ์ วรยุทธ์ของคนผู้นั้นไม่เก่งกาจแต่ลงมือโหดเหี้ยมนักต้องไม่ใช่มือสังหารธรรมดาๆเป็นแน่ เจ้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองกันแน่?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองอยู่ๆก็โผล่มาอย่างประหลาด ครั้งก่อนอยู่ที่ขั้วโลกเหนือเกือบจะเอาชีวิตอันน้อยนิดนี้ไปเสียแล้ว?”
“ขั้วโลกเหนือ? เขาตามสังหารเจ้าที่ขั้วโลกเหนือ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึง?”
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่สามารถซ่อนความกังวลใจไว้ท่ามกลางหว่างคิ้วได้
หากว่าเขาดูไม่ผิดกำลังความสามารถของมือสังหารชุดดำผู้นั้นน่าจะถึงระดับห้าแล้ว
ระดับห้า……นั่นช่างทน่ากลัวยิ่งนัก ใต้หล้าก็หาผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ไม่กี่คน
และความเร็วของการจู่โจมด้วยดาบของเขาช่างน่ากลัวดังได้ยินมาจริงๆ เขายืนอยู่ข้างๆกู้ชูหน่วนแต่เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกรั้งเอาไว้แน่น ทั้งดาบหนึ่งกระบี่หนึ่งตรงข้ามนั้นเขากลับไร้ซึ่งกำลังในการโต้ตอบ
กู้ชูหน่วนด้านหนึ่งกินอาหารด้านหนึ่งตอบกลับว่า “คนที่ต้องการจะสังหารข้าช่างมากมายนักและก็ต้องดูด้วยว่าพวกเขาจะมีความสามารถนั้นหรือไม่”
นางหัวเราะเยาะ
ที่นี่ไม่ใช่ขั้วโลกหนือสักหน่อย
ที่นี่ไม่เพียงแค่มีคนของนางคุ้มกันอยู่ลับๆและยังมีคนของเยี่ยจิ่งหานคอยปกป้องคุ้มครองตามติดอยู่ตลอดเวลา
คนธรรมดาทั่วไปต้องการจะสังหารนางก็ต้องคิดทบทวนถึงความสามารถของตนเองด้วย
เซี่ยวอวี่เซวียนโกรธจนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“เจ้าก็ช่างสบายเนื้อสบายใจนะ ข้าว่าฝูกวงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“ฝูกวงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆแต่ว่ายังมีน้องฉี่หลัวและกำลังคนไร้ซึ่งค่าตอบแทนเหล่านั้นของจวนหานอ๋องไม่ใช่หรือ?”
กล่าวอยู่กู้ชูหน่วนก็เหลือบมองเขาอย่างเย้ยหยันพร้อมรอยยิ้มดูแคลน “หรือว่าเจ้าต้องการที่จะไปลองต่อสู้กับมือสังหารผู้นั้นด้วย?”
“เล่นตลกอันใด ระดับห้าเชียวนะ ข้าจะเข้าไปให้คนสับเป็นซอสเนื้อหรือ?”
“แล้วเจ้าเป็นกังวลอันใด?,”
“ได้ ถือว่าข้าเป็นกังวลเรื่อยเปื่อยได้ไหม”
เซี่ยวอวี่เซวียนกัดอาหารแห้งคำหนึ่งและฟังเสียงการต่อสู้อันดุเดือดที่ดังมาจากทางนั้น
เขามีใจต้องการไปดูแต่ก็กลัวหน้าเสีย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดฮวาฉี่หลัวและฝูกวงกุมตัวมือสังหารชุดดำซึ่งถูกสกัดจุดมายังตรงหน้ากู้ชูหน่วน
ฮวาฉี่หลัวกล่าวอย่างหายใจออกแรงว่า “ท่านพี่หน่วนข้าช่วยท่านจับตัวมาแล้ว คนผู้นี้วรยถทธ์สูงส่งนัก ข้าและองครักษ์ลับๆของท่านสองคน ร่วมมือกันยังจับตัวเขาเอาไว้ไม่อยู่แต่โชคดีที่ตอนหลังยังมีผู้ช่วยอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงได้จับกุมตัวเขาเอาไว้ได้”
ทุกคนมองไปยังมือสังหารชุดดำอย่างละเอียด
เขาอายุไม่มากนักราวๆสิบกว่าหรือยี่สิบปี ร่างกายเพรียวบางและอารมณ์เย็นชา แม้ว่าจะถูกจับตัวหลังของเขาก็ยืดตัวตรงราวกับต้นสนสีเขียวและต้นไผ่อันแข็งแรงเช่นนั้น
ดวงตาสีดำขาวแบ่งแยกชัดเจนนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ และไม่มีร่องรอยของความโกรธเกลียดของผู้พ่ายแพ้และการขอความเมตตาเลย
เพียงแค่ดูร่างกายของเขาก็นับว่าดีนัก
เซี่ยวอวี่เซวียนแตะลิ้น “ดูไม่ออกว่าอายุยังน้อยวรยุทธ์ก็ค่อนข้างร้ายกาจ ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้ามีหน้าตาเป็นอย่างไร”
เขายื่นมือไปถอดผ้าคลุมหน้าของชายหนุ่มชุดดำออกซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา
เมื่อเห็นหน้าตาของเขาฮวาฉี่หลัวก็ประหลาดใจ
ฝูกวงและเซี่ยวอวี่เซวียนก็ตกใจ
โดยเฉพาะเซี่ยวอวี่เซวียนซึ่งสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากและกล่าวด้วยความตกใจว่า “เยี่ยเฟิง เหตุใดถึงเป็นเจ้า……”
ชายหนุ่มชุดดำเงียบเชียบไร้ซึ่งการตอบกลับ
กลับเป็นกู้ชูหน่วนที่กล่าว
“เขาไม่ใช่เยี่ยเฟิงเขาคือลั่วอิ่ง อย่างไรก็ตาม……สลักอยู่บนดาบของเขาหน่ะ”
ทุกคนมองไปยังดาบของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ดาบกระบี่นั้นใบมีดของดาบและใบมีดของกระบี่ช่างบางทว่ากรีดเหล็กราวกับดินโคลน ใต้ประกายแสงที่ส่องนั้นยังโปร่งใสด้วยร่องรอยของความเย็นชาและการหายใจไม่ค่อยออกด้วย หากว่าไม่เกินความคาดหมายของพวกเขาบนดาบกระบี่นี้ก็ไม่รู้ว่าเปื้อนไปด้วยเลือดของผู้คนมากมายเพียงใด
ด้านบนของดาบสลักตัวอักษลั่วอิ่งขนาดใหญ่สองตัวไว้
ลั่วอิ่ง……
เขาชื่อลั่วอิ่ง?
ความเร็วของเขาราวกับเงาอันริบหรี่จริงๆ ชื่อนี้ตั้งได้ค่อนข้างสอดคล้องกับเขา
เซี่ยวอวี่เซวียนยังคงไม่สามารถยอมรับได้ จึงได้มองดูเขาโดยละเอียดอย่างจริงจังอีกครั้ง
“เจ้าไม่ใช่เยี่ยเฟิงจริงๆหรือ? หากว่าเจ้าไม่ใช่เยี่ยเฟิงเหตุใดเจ้าถึงได้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเขาเช่นนี้? ฝาแฝด? แต่พระมเหสีฉู่ได้ให้กำเนิดเยี่ยเฟิงผู้เดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ และก็ไม่ได้ยินพวกเขากล่าวว่าได้ให้กำเนิดลูกแฝดนี่นา?”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
นี่ก็เป็นเรื่องที่นางคิดไม่ตกมาตลอด
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระมเหสีฉู่ได้ให้กำเนิดฝาแฝดโดยที่ตนเองก็ไม่รู้?” กู้ชูหน่วนกล่าว
ฮวาฉี่หลัวไม่ได้คิดเลยก็โต้เถียงกลับโดยตรงว่า “เป็นไปได้อย่างไรพระมเหสีฉู่เป็นผู้ให้กำเนิดบุตรนะ ไม่ว่าพระองค์จะสับสนเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองให้กำเนิดบุตรหนึ่งหรือสองคนกระมัง”
“นั่นก็ไม่แน่ ในตอนนั้นอยู่ในสถานการณ์คับขัน และพระมเหสีฉู่ก็คลอดบุตรยาก ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น”
นางไม่เชื่อเป็นแน่ว่ามีคนสองคนในโลกที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันเช่นนั้นอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น
อาจเนื่องจากความอาวรณ์ที่จะปล่อยให้เยี่ยเฟิงตายอย่างอนาถในหุบเขาโลหิตหูหลู ในใจเซี่ยวอวี่เซวียนหวังว่าเขาจะเป็นเยี่ยเฟิง
ด้วยเหตุนี้เซี่ยวอวี่เซวียนจึงดึงมือทั้งคู่ของเขาและตรวจสอบอย่างละเอียยดถี่ถ้วน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกผิดหวัง
มือทั้งสองข้างของเยี่ยเฟิงถูกคนทำหักครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งกระดูกของเขาผิดรูปผิดร่าง โดยเฉพาะมือซ้ายที่ไม่สามารถใช้กำลังใดๆได้ ส่วนเขาแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บมากมายแต่กระดูกไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง และคนผู้นี้ก็ยังถนัดซ้ายอีกด้วย
เมื่อคิดถึงถนัดซ้ายเซี่ยวอวี่เซวียนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “หัวหน้าสำนักศึกษาหลวงถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่? จากนั้นก็โยนความผิดให้เยี่ยเฟิง?”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด ข้าถามเจ้าว่าเจ้าเป็นคนสังหารหัวหน้าสำนักศึกษาใช่หรือเปล่า? เยี่ยเฟิงมีความแค้นอะไรกับเจ้าเหตุใดเจ้าถึงได้ทำร้ายเขาเช่นนี้?”
ลั่วอิ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยความเงียบ ดวงตาสีดำสนิทไร้ซึ่งความยินดีและโศกเศร้าพร้อมกับมองตรงไปในระยะไกลโดยไม่ร้องขอเลยแม้แต่น้อยและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของเซี่ยวอวี่เซวียน
เซี่ยวอวี่เซวียนโกรธมากจนอยากจะตบฝ่ามือหนึ่งไปแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่คล้ายคลึงกับเยี่ยเฟิงของเขาก็ไม่สามารถลงมือได้ลง
เจ้าสารเลวนี้มีใบหน้าเหมือนกับเยี่ยเฟิงไม่ผิดเพี้ยน แต่จิตใจช่างโหดเหี้ยมเช่นนั้น ไล่ตามสังหารแม่สาวอัปลักษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าและยังสังหารหัวหน้าสำนักศึกษาที่ดีเช่นนั้นด้วย
เยี่ยเฟิงถูกเขาให้ร้ายอย่างทุกข์ทรมานมากเพียงใด
ฮวาฉี่หลัวยื่นมือออกแกว่งไปมาตรงหน้าลั่วอิ่งและกล่าวอย่างลังเลว่า “เขาเป็นใบ้หรือเปล่านะดังนั้นจึงไม่ตอบ?”
กู้ชูหน่วนกินอาหารแห้งคำสุดท้ายเสร็จแล้ว ลุกยืนขึ้นและตบเสื้อผ้าอันยุ่งเหยิงแล้วกล่าวเบาๆว่า “เขาไม่ได้เป็นใบ้เพียงแค่ไม่ชอบพูดก็เท่านั้น”
“อ๊า……คนผู้นี้ช่างน่าแปลกจริงๆ นี่ ข้าถามเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงจะต้องสังหารท่านพี่หน่วนของข้า เป็นผู้ใดที่ให้เจ้ามาสังหารนาง”
เงียบ……
นอกจากเสียงใบไม้ร่วงแล้วก็ไม่มีเสียงใดเลยแม้แต่น้อย
“นี่ เจ้าหูหนวกเหรอ? ข้าถามเจ้าว่าเหตุใดจะต้องสังหารท่านพี่หน่วน หากเจ้าไม่ยอมบอกข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”
ก็ยังคงเงียบเชียบ ลั่งอิ่งราวกับเป็นท่อนไม้ไม่ว่าฮวาฉี่หลัวจะถามอย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับเลยแม้แต่น้อย
ฝูกวงขมวดหน้าพร้อมกล่าวเสริมขึ้นประโยคหนึ่งว่า “นายท่านไม่งั้นข้าน้อยพาเขากลับไปสอบสวนให้เข้มงวดและบังคับให้เขาเปิดเผยผู้บงการเบื้องหลัง”
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกบีบใบหน้าอันบอบบางอ่อนโยนของฝูกวงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม้ว่าเจ้าจะทุบตีเขาจนตายเขาก็จะไม่เปิดเผยคำพูดใดๆ ออกมาเลยสักคำ”
ฝูกวงหน้าแดงด้วยความขวยเขินเล็กน้อย เขาต้องการปัดกู้ชูหน่วนออกแต่ก็เกรงใจ
ท้ายที่สุดทำได้เพียงรีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างเขินอายว่า “ในเมื่อนายท่านไม่เป็นไรแล้วงั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
ไม่รอให้กู้ชูหน่วนตอบกลับฝูกวงก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว