กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ – บทที่ 664

บทที่ 664

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 664
เมื่อหันไปมองร่างที่สั่นคลอนของเหวินเส่าอี๋อีกครั้ง ภาพการช่วยเหลือซึ่งกันและกันหลายต่อหลายครั้งที่ขั้วโลกเหนือก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของนาง

กู้ชูหน่วนอยากจะถอนฝ่ามือออกมาเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ควบคุมร่างกายไม่ได้

แสงสีม่วงเปล่งประกายวาบ

นางเลื่อนระดับจากขั้นกลางระดับสามไปอยู่ชั้นสูงสุดระดับสามทันที

ส่วนเหวินเส่าอี๋ลดจากชั้นสูงสุดระดับสองไปอยู่ขั้นกลางระดับสอง จากนั้นจึงลดไปอยู่ขั้นต้นระดับสอง สุดท้ายก็ลดมาถึงระดับหนึ่ง…

ระดับหนึ่ง…

เหลือเพียงแค่ระดับหนึ่ง…

ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป เหวินเส่าอี๋จะต้องตกนรกทั้งเป็น

“อ๊า!!”

กู้ชูหน่วนกรีดร้องเสียงดัง ไม่รู้ว่านางเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนและฝืนกระชากมือจนหลุด

อึก!

เหวินเส่าอี๋กระอักเลือด ร่างกายที่งดงามประหนึ่งเทพตกสวรรค์ล้มลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง

พละกำลังของเขาดูเหมือนจะถูกสูบออกไปจนหมด เขาดูแก่ชราลงไปทันตา พยายามอยู่นานก็ยังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาไม่ได้

กู้ชูหน่วนไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก นางปิดจุดตันเถียนของตัวเองอย่างทุกข์ทรมาน ยังมีพลังบางอย่างที่ฉีกทึ้งนางอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะฉีกนางให้แยกออกเป็นสองส่วน

“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะนายท่าน…”

“อาหน่วน…”

ผู้อาวุโสหกรีบวิ่งมาหา ทันทีที่เห็นร่างสีแดงเพลิงของกู้ชูหน่วน เขาก็รีบประสานฝ่ามือไว้ที่หลังของนางเพื่อช่วยนางปรับพลังลมปราณภายใน

“อย่า!”

กู้ชูหน่วนตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ

ทว่าสายไปเสียแล้ว

กำลังภายในของผู้อาวุโสหกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างต่อเนื่องและไร้การควบคุม

ผู้อาวุโสหกตกใจ แต่พอคิดจะถอนมือออกก็สายเกินไปเสียแล้ว

กู้ชูหน่วนโมโหจนนึกอยากจะด่าพ่อด่าแม่

เขาไม่มีสติหรือยังไง

เดิมทีร่างกายของนางก็ทนรับไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วนี่เป็นอะไรถึงมามอบกำลังภายในให้นางอีก คิดจะระเบิดนางให้กระจุยหรืออย่างไร

กู้ชูหน่วนเอ่ยอย่างทรมานว่า “ผู้เฒ่า ท่านจงใจมาลงโทษข้างั้นหรือ”

“เด็กอย่างท่านพูดไร้สาระอะไร ข้ามอบกำลังภายในที่ฝึกฝนอย่างหนักเป็นสิบๆ ปีให้ท่านเปล่าๆ แบบนี้ ยังจะเรียกว่าลงโทษได้อีกรึ”

“ถ้าอยากมอบให้ข้า ช่วยมอบให้อย่างอ่อนโยนกว่านี้มิได้หรือ”

“ทั้งถูกและดีขนาดนี้ ดูเหวินเส่าอี๋ผู้ที่ทั้งน่าสมเพชและน่าชังนั่นสิ ถูกท่านดูดพลังภายในจากชั้นสูงสุดระดับหกจนเหลืออยู่แค่ระดับหนึ่ง”

“ท่านจะเอาแต่บ่นจู้จี้ไปเพื่ออะไร รีบหาวิธีเร็วเข้า ร่างกายของข้าจวนจะระเบิดอยู่แล้ว”

ผู้อาวุโสหกหุบยิ้มและเอ่ยอย่างเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะสอนวิธีการใช้พลังภายในให้ท่าน ท่านลองดูว่าจะถอนฝ่ามือออกได้หรือไม่”

ผู้อาวุโสหกขยับริมฝีปากและสอนเคล็ดลับของเผ่าหยกให้นาง

กู้ชูหน่วนส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด “ไม่ได้ ข้าทำใจให้สงบไม่ได้ ข้าทรมานเกินไป เรียนรู้ไม่ได้ ท่านถอนฝ่ามือออกไปเลยมิได้รึ”

“ข้า…ข้าก็ถอนออกไม่ได้”

“ท่านเป็นผู้อาวุโสมิใช่หรือ แค่นี้ก็ทำไม่ได้หรืออย่างไร”

“ใครบอกว่าเป็นผู้อาวุโสแล้วต้องทำได้…แล้วเมื่อครู่ท่านดึงออกอย่างไร ลองใหม่อีกทีซี่”

“มะ…ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ทำได้อย่างไร ดูเหมือนจะมีพลังปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหัน ข้าจึงถอนมือออกมาได้”

“เช่นนั้นท่านก็ลองระเบิดพลังนั่นอีกครั้ง”

ปอยผมของกู้ชูหน่วนตกลงมา

นางเองก็อยากทำ แต่มันสำคัญที่ว่านางระเบิดพลังออกมาไม่ได้

“อ๊า!!”

ใบหน้ากู้ชูหน่วนบิดเบี้ยว

ในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น อยู่ๆ นางก็ทะลวงระดับสี่ได้สำเร็จ

ชั่วขณะนั้นสวีหู่และคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเศร้าใจดี

พวกเขาควรจะดีใจที่พลังของนายท่านพัฒนาขึ้นเร็วมากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

แต่…

แต่นายท่านทรมานเหลือเกิน

นอกจากนั้นยังเป็นการดูดพลังอันมากล้นมาจากผู้อาวุโสหก…

เปลี่ยนเป็นดูดพลังมาจากไอ้พวกหมาพันธุ์ผสมอย่างเผ่าเพลิงฟ้ามิได้รึ

“ข้าจะไปตามผู้อาวุโสเจ็ดมาเอง”

เสี่ยวลู่หายวับไปในชั่วพริบตา

เหวินเส่าอี๋หันไปมองกู้ชูหน่วนอย่างอ่อนแรงและเกิดความรู้สึกขมขื่นภายในใจ เขาไม่เพียงแต่กังวลแทนกู้ชูหน่วน แต่ยังเศร้าใจแทนตัวเองอีกด้วย

เขาแทบจะสูญเสียพลังทั้งหมด

กลายเป็นเพียงเศษไม้โดยสมบูรณ์

มีพลังปราณแท้สองอย่างอาละวาดอยู่ภายในตัวของกู้ชูหน่วนตลอดเวลาราวกับอยากจะระเบิดร่างของนาง

นางเจ็บปวดจนแม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน บิดเบี้ยวราวกับถูกบดด้วยเครื่องบดจนผิดรูป

ร่างกายของนางใกล้จะถึงขีดจำกัด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่วรยุทธของผู้อาวุโสหกจะถูกสูบออกมาจนหมด แต่นางจะตายเพราะพลังปราณของตนเองด้วย

เมื่อนึกถึงภาระอันหนักอึ้ง กู้ชูหน่วนจึงพยายามสงบสติอารมณ์และเรียนรู้วิธีที่ผู้อาวุโสหกสอน

ไม่รู้ว่าวิธีที่เรียนมาใช้ไม่ได้หรือว่านางทำผิดเอง กู้ชูหน่วนจึงยังถอนตัวออกมาไม่ได้

อึก!

กู้ชูหน่วนกระอักเลือดออกมาและกรีดร้องอย่างเจ็บปวด อยู่ๆ คนสองคนที่ติดหนึบอยู่ด้วยกันก็แยกออกจากกันได้อย่างไม่มีเหตุผล

ผู้อาวุโสหกบาดเจ็บมิใช่น้อย ใบหน้าซึ่งแต่เดิมเปล่งปลั่งมีสีเลือดดูซีดเผือดลงไปถนัดตา

สวีหู่รีบก้าวเข้ามาหา “นายท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้” กู้ชูหน่วนเอ่ยอย่างอ่อนแรง นางไม่อยากจะสูบพลังใครอีกแล้ว

ร่างกายของนางกำลังทรุด

หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหวินเส่าอี๋และผู้อาวุโสหก สวีหู่และคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเข้ามาแตะต้องนางอีก ได้แต่กล่าวอย่างกังวลว่า “หมอใกล้จะมาถึงแล้วขอรับ นายท่านโปรดทนอีกนิด”

กู้ชูหน่วนนั่งขัดสมาธิและใช้วิชาเสี่ยวโจวเทียน พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ปราณแท้ที่อาละวาดอยู่ภายในสงบลง

ขั้นตอนนั้นเจ็บปวดมาก เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายและไหลรินลงมาจากหน้าผาก คิ้วงามขมวดมุ่น ทว่าไม่ได้ดูทุกข์ทรมานอย่างเมื่อครู่นี้แล้ว

ใช้เวลาหนึ่งก้านธูปเต็ม กู้ชูหน่วนจึงค่อยผ่อนคลายลง

ทันทีที่ลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมองนางอย่างวิตกกังวล

“สาวน้อย ดูดซับปราณแท้ภายในกายแล้วใช่หรือไม่ นั่นคือกำลังภายในที่ข้าฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดหลายสิบปี หากท่านดูดซับไว้ไม่ได้ข้าคงจะเสียใจมาก”

“ตอนนี้ท่านอยู่ระดับใดแล้ว” น้ำเสียงของกู้ชูหน่วนอ่อนโรยเล็กน้อย ทว่านางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

ผู้อาวุโสหกรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโสหกผู้ภูมิฐานแห่งเผ่าหยก หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าวิทยายุทธของเขาสูงส่งเทียบกู้ชูหน่วนไม่ได้ คนอื่นจะไม่หัวเราะจนฟันร่วงรึ

เขาทำได้เพียงยิ้มอย่างอึดอัด “ก็แค่สูญเสียกำลังภายในไปนิดหน่อยเท่านั้น แค่ฝึกฝนใหม่ก็พอแล้ว ที่สำคัญคือกำลังภายในเหล่านั้นไม่ได้สูญเปล่า แต่มันถูกส่งต่อไปให้ท่าน”

“ขออภัยจริงๆ”

กู้ชูหน่วนขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

นางรู้ว่าผู้อาวุโสหกไม่ได้นึกตำหนิเลยแม้แต่น้อยเรื่องวรยุทธที่ถูกส่งต่อมาให้ หนำซ้ำเขายังยินดีมาก

“พูดไร้สาระอะไรเช่นนั้นเด็กโง่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ผู้เฒ่าหกจะช่วยพยุงท่านให้ลุกขึ้นเอง”

หลังจากลุกขึ้นมา กู้ชูหน่วนจึงเห็นว่าเหวินเส่าอี๋ถูกผู้ใต้บังคับบัญชาจับกุมไว้แล้ว

เหวินเส่าอี๋ยังคงสวมหน้ากากผีเสื้อและมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ทว่าดวงตาของเขามืดมนไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าบางส่วนที่เผยออกมาให้เห็นดูซีดขาวจนน่ากลัว

แม้ว่าเขาจะพยายามเหยียดหลังตรงอย่างสุดความสามารถ แต่นางก็มองออกว่าเขากำลังฝืนทนเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไป

เขา…

บาดเจ็บสาหัส

นอกจากนี้ยังลดลงไปอยู่ระดับหนึ่ง

จากระดับหกลดลงไปอยู่ระดับหนึ่ง…

นี่มัน…

เกรงว่าจะมีเขาเพียงคนเดียวในใต้หล้า

ความรู้สึกที่กู้ชูหน่วนมีต่อเหวินเส่าอี๋เป็นสิ่งที่ซับซ้อน ด้านหนึ่งนางเกลียดที่เขาเป็นคนของเผ่าเพลิงฟ้า เกลียดที่เขาเข้ามายุ่มย่ามมากเกินไป แต่อีกด้านหนึ่งถ้าตัดฐานะของเขาออกไป เขาไม่เคยทำเรื่องที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หนำซ้ำยังช่วยนางไว้หลายต่อหลายครั้ง

“รองหัวหน้าเผ่าซือคงอยู่ที่ไหน” กู้ชูหน่วนถามตรงๆ

“ข้าไม่รู้”

“ท่านเป็นถึงนายน้อยแห่งเผ่าเพลิงฟ้า เขารู้วิชาเวท แล้วคนอย่างท่านจะไม่รู้เลยสักนิดหรือ”

เหวินเส่าอี๋เบือนหน้าหนีราวกับไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้

“ไข่มุกมังกรล่ะ ไข่มุกมังกรลูกที่เจ็ดอยู่ที่ไหน”

“ข้าไม่รู้”

“เหวินเส่าอี๋ อย่าคิดว่าท่านเคยช่วยข้าแล้วข้าจะไม่กล้าจัดการกับท่าน ท่านต้องบอกที่อยู่ของไข่มุกมังกรหรือไม่ก็ที่อยู่ของรองหัวหน้าเผ่าซือคงออกมา ไม่อย่างนั้น…”

“ไม่อย่างนั้นจะทำไมรึ”

“ก็ไม่ทำไมหรอก แค่อยากจะขอให้ท่านอยู่ดื่มชาเสียหน่อย”

กู้ชูหน่วนจงใจกัดถ้วยชาอย่างแรง ซึ่งนั่นแฝงไปด้วยการข่มขู่อย่างชัดเจน

สวีหู่เข้าใจในทันทีและนำโซ่ตรวนจากที่ไหนก็ไม่รู้ออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคลิก และโซ่ตรวนก็พันธนาการข้อเท้าข้างขวาของเหวินเส่าอี๋เอาไว้

ตรวนนั้นมีขนาดพอดีกับข้อเท้าขวาของเหวินเส่าอี๋ราวกับวัดขนาดเตรียมไว้

สวีหู่ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ตรวนนี้ทำมาจากเหล็กชั้นดีหมื่นปี แม้แต่ยอดฝีมือระดับเจ็ดก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ ถ้าฝืนแกะออก เข็มเล็กๆ ที่อยู่ด้านในจะเจาะไปทุกตารางนิ้วของข้อเท้า ทำให้เจ้าเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ทางที่ดีเจ้าควรทำตัวดีๆ จะดีกว่า”

ห่วงอีกข้างหนึ่งถูกสวีหู่ดึงเอาไว้

แม้ว่าโซ่ตรวนจะไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเขาในเวลานี้ แต่การถูกพันธนาการด้วยตรวนก็เป็นเรื่องที่น่าอับอาย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเหวินเส่าอี๋เป็นอย่างยิ่ง

กู้ชูหน่วนกล่าวว่า “พวกท่านเผ่าเพลิงฟ้าเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้”

เหวินเส่าอี๋เหลือบมองโซ่ตรวนสีดำด้วยสายตาที่เรียบเฉย ทันใดนั้นรอยยิ้มอันขมขื่นก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “ในเมื่อตกอยู่ในกำมือของท่านแล้ว จะฆ่าหรือทรมานก็แล้วแต่ท่านเลย”

“ถึงจะเฉือนเจ้าด้วยมีดพันเล่มก็ยากที่จะระบายความเกลียดชังในใจข้า นายท่าน ถ้าเขาไม่ยอมบอกที่อยู่ของตาเฒ่าซือคงหรือไข่มุกมังกร เราส่งเขาไปที่เผ่าหยกดีหรือไม่ขอรับ ที่เผ่าหยกมีผู้คนมากมายที่พร้อมจะทำให้เขาทรมานเหมือนตายทั้งเป็น”

“เช่นนั้นก็ส่งเขาไปที่เผ่าหยก”

ประโยคที่เฉยเมยนั้นเปรียบเสมือนการตัดสินประหารชีวิตของเหวินเส่าอี๋

ทุกคนต่างรู้ว่าคนของเผ่าหยกแทบรอไม่ไหวที่จะทรมานเขาให้ตายทั้งเป็น

เหวินเส่าอี๋ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับการถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน

แต่คำพูดประโยคสุดท้ายของกู้ชูหน่วนกลับทำให้เขาเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ส่งไปเผ่าหยก?

แม้แต่การตัดสินนางยังตัดสินอย่างไม่ให้เกียรติงั้นหรือ

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท