กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ ตอนที่ 608
อยู่ที่นี่ต่อไปอย่างไม่เต็มใจนักและพวกเขาทุกคนก็อาจจะตายอยู่ที่นี่กันทั้งหมด
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เข้าใจ จึงนำเยี่ยจิ่งหานและกู้ชูหน่วนออกไปจากที่นี่ แต่เพราะกลัวว่าเมื่อกลับไปถึงจวนท่านอ๋องแล้ว ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยจักห้ามมิให้มันกินเนื้อย่าง เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์จึงได้นำพวกเขาทั้งสองกลับไปด้วย
ลมพายุพัดอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะความเร็วที่รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้กำลังแรงของลมยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
เยี่ยจิ่งหานโอบกอดกู้ชูหน่วนไว้ในอ้อมกอดและถูกคลุมไว้อย่างแน่นหนา พยายามทำให้นางโดนลมพัดให้น้อยที่สุด จากนั้นถึงได้หยิบเสบียงกรังออกมาทานเล็กน้อยพอประทังหิวได้
ทั้งชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยต่างก็ใช้กำลังภายในเพื่อหยุดลมพายุที่พัดมาอย่างรุนแรง เพื่อให้นายท่านและพระชายาโดนลมพัดน้อยลง
ทางเหนืออันไกลโพ้นยังมีระยะทางห่างจากรัฐชาววะอีกไกลมากนัก ทุกคนต่างก็เดินเป็นเวลานานมากถึงจะเดินออกมาได้
“นายท่านขอรับ อีกไม่ไกลด้านหน้าก็เป็นรัฐชาววะแล้วขอรับ”
สีหน้าของชิงเฟิงซีดเซียวและอาเจียนอย่างรุนแรงมาตลอดทาง รุนแรงจนอาเจียนเป็นน้ำดี ในปากก็บ่นพึมพำ “ข้าจักไม่นั่งรถของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์อีกต่อไป”
สีหน้าของเจี้ยงเสวี่ยก็ไม่สู้ดีนัก
ความเร็วของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์นั้นรวดเร็วจริง ๆ
แรกเริ่มพวกเขายังสามารถบังพายุหิมะให้กับนายท่านได้ แต่สุดท้ายเพียงแค่ดูแลตัวเองยังยาก ไร้เรี่ยวแรงจริง ๆ
โดยเฉพาะเมื่อเห็นชิงเฟิงอาเจียนถึงเพียงนี้แล้ว เขาเองก็เริ่มมีอาการอยากอาเจียนบ้างแล้วเช่นกัน
อย่าว่าแต่ชิงเฟิงเลย เขาเองก็มิอยากนั่งด้วยเช่นกัน
เยี่ยจิ่งหานกล่าว “เป็นอย่างไรบ้าง ยังทนต่อไปได้อีกหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนกัดฟัน “วางใจเถิด ข้ามิตายหรอก”
นางยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากนัก จักตายบนพื้นดินทางเหนืออันไกลโพ้นเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้าจักพยุงเจ้าเข้าเมือง เจี้ยงเสวี่ย เจ้าเข้าไปในเมืองก่อนและดูว่าที่ไหนมีหมอบ้าง”
“ขอรับ”
เยี่ยจิ่งหานและคนอื่น ๆ เดินช้ามาก เจี้ยงเสวี่ยไปและกลับมาอย่างเร็วไวด้วยสีหน้าจริงจัง ผู้คนรอบ ๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมากะทันหัน
หรือว่าในเมืองไม่มีหมออย่างนั้นรึ?
เจี้ยงเสวี่ยกล่าว “นายท่าน รัฐชาววะทั้งรัฐ….มอดไหม้ไปหมดแล้วขอรับ”
“อะ….อะไรนะ….”กู้ชูหน่วนตกใจ
นางออกจากอ้อมกอดของเยี่ยจิ่งหานและวิ่งไปทางรัฐชาววะ แต่ทว่ายังไม่ทันถึงรัฐชาววะ ก็เห็นควันสีขาวขุนลอยอยู่บนท้องฟ้า
มองจากนอกประตูเมือง ที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยซากศพ แต่ละคนตายเพราะถูกตัดอวัยวะภายในจนละเอียด
คนเหล่านั้น มีทั้งคนที่นางรู้สึกคุ้นตาและไม่คุ้นตา
กู้ชูหน่วนเข้าไปในเมืองและเดินผ่านไปสุดทางมีเลือดนองเป็นแม่น้ำ รัฐชาววะที่ใหญ่เพียงนี้ นอกจากซากศพแล้วก็ยังคงเป็นซากศพ
ชิงเฟิงและคนอื่นเห็นแล้วก็มิอาจทนได้เช่นกัน ที่นี่มีคนชราที่อายุเยอะและมีเด็กทารกที่ยังต้องห่อตัวอยู่ด้วย ใครกันที่โหดร้ายอำมหิต สังหารพวกเขาเหล่านี้ไปจนหมดเช่นนี้
“นายท่าน ตอนที่พวกข้ามา รัฐชาววะยังอยู่ รำบำรำฟ้อนเฉลิมฉลองที่นี่และเต็มไปด้วยความสุข….”
“พวกเขาตายยังไม่ถึงสองวัน”เยี่ยจิ่งหานกล่าว
กู้ชูหน่วนตัวเอียงเกือบล้มลงไปกับพื้น
นางเห็นจักรพรรดินีที่ล้มลงบนกองเลือด ร่างของจักรพรริดนีแข็งทื่อมิอาจหวนคืนกลับมาได้อีก
ตรงไม่ไกลจากจักรพรรดินียังมีท่านแม่ทัพฮวา
ท่านแม่ทัพฮวาเองก็ตายเพราะถูกตัดเส้นลมปราณเช่นกัน
ทุกการเคลื่อนไหวและเสียงหัวเราะของคนเหล่านี้ ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของนาง เดิมทีนางยังคงรังเกียจที่คนเหล่านี้ยากที่จะเข้าหาด้วย
แต่มิอาจคาดถึงว่าหลังจากออกมาจากทางเหนืออันไกลโพ้น กลับกลายเป็นคนละโลกแบบนี้
“ตู้ม…”
ทันใดนั้นเอง ด้านใต้ของท่านแม่ทัพฮวาก็มีเสียงดังออกมา ชิงเฟิงรีบชักดาบออกมาทันที
เจี้ยงเสวี่ยนำร่างของท่านแม่ทัพฮวาออกไป ด้านใต้ร่างของนางมีเด็กสาวอายุราวสิบสามปีอยู่
“มกุฎราชกุมารี”
กู้ชูหน่วนตะโกนและรีบพยุงมกุฎราชกุมารีที่เจ็บหนักให้ลุกขึ้น
นางตรวจชีพจรของพระองค์ อวัยวะภายในทั้งห้าบาดเจ็บหนัก เหลือเพียงหายใจสุดท้าย
น่าจะเพราะว่าแม่ทัพฮวาปกป้องพระองค์เอาไว้ พระองค์จึงมิตายในทันที แต่ทว่าวรยุทธ์ของผู้ที่สังหารพวกเขานั้นสูงยิ่งนัก จึงทำให้พระองค์เองก็ได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย
“ฝีมือใครกัน”กู้ชูหน่วนถาม
“พี่…พี่หญิง…รีบ…รับหนีไป มี…ผู้…ผู้เฒ่าคนหนึ่งเก่งกาจมาก โหดเหี้ยมมาก…เห็น…เห็นคนก็ฆ่า…”
ผู้เฒ่างั้นรึ?
หรือว่าเป็นรองหัวหน้าเผ่าซือคงกัน?
กู้ชูหน่วนถาม “ผู้เฒ่าคนนั้นมีผมสีขาว รูปร่างสูงผอม ดูแล้วเหมือนเทวดา แต่เมื่อโหดร้ายก็เหมือนดั่งปีศาจใช่หรือไม่?”
มกุฎราชกุมารีพยักหน้าอย่างยากลำบาก พระองค์กวาดมองซากศพบนพื้น ดงตาแดงก่ำ “รัฐชาววะของพวกเรา ถูกเขา…สังหาร…ไปเสียหมดแล้วใช่หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนกอดนางแน่น แม้นว่านางจะสูงถึงเข่าก็ตาม
“พี่หญิงจักมิปล่อยให้เจ้าตาย พี่จักรักษาเจ้าให้หายดี”
“พี่หญิง…ท่านเคยพูดว่าจักพาข้าไปดู…ไปดูโลกภายนอก ข้าอยากจะดู…ว่าด้านนอกนั้นเป็นเช่นไร”
“ได้สิ พี่หญิงจักพาเจ้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะ เจ้าทนหน่อยนะ”
กู้ชูหน่วนเพิ่งจะอุ้มมกุฎราชกุมารีขึ้นมา พระองค์ก็กระอักเลือดออกมา ลมหายใจแผ่วเบาขึ้นอีก
พวกเขาล้วนเป็นคนแคระหมดและการเจริญเติบโตไม่ดีเท่าไรนัก รวมกับร่างกายที่อ่อนแอ จักรับมือกับท่าไม้ตายของรองหัวหน้าเผ่าซือคงที่โหดเหี้ยมเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
มกุฎราชกุมารีเหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย พลังกายมิอาจหวนคืนกลับมาได้
ดวงตาของกู้ชูหน่วนแดงก่ำ
พระองค์อายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น
ชีวิตก็เพิ่งจะเริ่มขึ้น…
แต่กลับถูกพรากชีวิตไปอย่างโหดร้ายเช่นนี้
“ข้า….ข้าชื่นชอบพี่หญิง….เห็นพี่หญิงก็เหมือนเห็นโลก….โลกภายนอก”
“ท่านอย่า…อย่าเสียใจไปเลย ตายไปพร้อมกับครอบครัวของตน ข้า…ข้ามิหวาดกลัวเลยสักนิด ข้า…ข้าจักไปหาพวก…พวกเขาแล้ว…”
ทุกครั้งที่มกุฎราชกุมารีพูดราวกับว่าพระองค์ต้องใช้แรงทั้งหมดที่ตนมี
ทันใดนั้น มือที่ยกขึ้นสูงของพระองค์ก็ตกลงไปและหยุดหายใจ
กู้ชูหน่วนกอดร่างศพของนางที่ยังอุ่นอยู่ น้ำตาไหลทันที
เยี่ยจิ่งหานกล่าว “คนตายมิอาจฟื้นคืนมาได้ ทั้งครอบครัวและคนของนางต่างก็ตายไปเสียแล้ว แม้นจักยังมีชีวิตอยู่ นางก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ทุกค่ำคืน”
“พระชายา เสียใจด้วยขอรับ”
กู้ชูหน่วนปล่อยมกุฎราชกุมารีออก สายตามีกลิ่นอายความแค้นออกมา
รองหัวหน้าเผ่าซือคง…
นางสาบานว่าตั้งแต่บัดนี้จักต้องฆ่าเขาด้วยมือตนเอง เพื่อล้างแค้นให้กับประชาชนของรัฐชาววะ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยสั่งให้คนเผาร่างศพของรัฐชาววะ รวมทั้งเรือนหอของรัฐชาววะด้วย เผาให้มันหายออกไปจากโลกนี้ตลอดกาล
วันนี้ ทุกคนต่างหนักแน่นและจริงจัง
และในวันนี้ อาการป่วยของกู้ชูหน่วนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นและสลบไป
เยี่ยจิ่งหานเองก็เพราะใช้พลังสะสมเป็นเวลานาน จึงล้มลงไปด้วยอีกคน
ชิงเฟิง เจี้ยงเสวี่ยและคนอื่นพาพวกเขากลับไปถึงนครหลวงแห่งรัฐเยี่ย
รอจนกู้ชูหน่วนฟื้นขึ้น ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่ในหัวของกู้ชูหน่วน กู้ชูหน่วนนั่งลงกับพื้น
ที่ตรงหน้าเป็นห้องที่คุ้นเคย นี่เป็นที่พำนักที่นางและเยี่ยจิ่งหายแต่งงานกันใหม่ และเป๋นจวนหานอ๋องอีกด้วย
“คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าคะ ทำเอาชิวเอ๋อร์กังวลแทบแย่ ต่อไปหากคุณหนูต้องออกไปแดนไกล พาชิวเอ๋อร์ไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้กี่ยามแล้ว”
“ตอนนี้…ตอนนี้จะยามเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู คุณหนูหิวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?ชิวเอ๋อร์จักรีบไปนำอาหารมาให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“กลับมา ที่ข้าถามคือ ตอนนี้เป็นวันที่เท่าใดกัน”
“สิบ…สิบแปดเจ้าค่ะ มีอันใดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”
ชิวเอ๋อร์ตัวสั่นไปครู่หนึ่ง
มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร พลังของคุณหนูก็แข็งแกร่งมากขึ้น
แต่มิว่าจักแข็งแกร่งมากเพียงใด คุณหนูก็พูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้อยครั้งนักที่จักจริงจังและกังวลเช่นนี้
สีหน้าของกู้ชูหน่วนซีดเซียว แทบจะเป็นลมไปอีกครั้ง
นางหยิบไข่มุกมังกรลูกที่หกออกมาและจ้องมอง
วันที่สิบแปดแล้ว…
เหตุใดจึงเป็นวันที่สิบแปดแล้วล่ะ…
เหตุใดนางจึงสลบไปนานเพียงนี้กัน?